 
                        ปารีส เอฟเฟล ช็องอารีเซ่ ไหนใครให้มากกว่านี้? เห็นรีวิวฝรั่งเศสกันจนเอียนก็ไม่พ้นซ้ำที่เดิม !
ทริปนี้ได้คำแนะนำจากเซียนฝรั่งเศสให้ไป France riviera ฝรั่งเศสใต้ที่ฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พอไปแล้วรู้สึกว่ามันดีมาก มันมีความเรียลแบบฝรั่งเศสผสมผสานกับความเป็นเมืองท่องเที่ยวอยู่ รวมๆคือดีมากจนอยากมาเล่ามาบอกให้ฟัง เพราะเห็นคนไทยรู้จักพื้นที่แถบที่ค่อนข้างน้อย สำหรับทริปนี้เหมาะมากสำหรับคนมีเวลาน้อยสัก 7 วันก็สามารถเที่ยวได้ ความสนุกรออยู่อ่านต่อได้เลยจ้า !
Day0 : Bangkok – Milan – Nice
. จากกรุงเทพผมขึ้นเครื่องการบินไทยบินตรงจากสุวรรณภูมิมุ่งตรงสู่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ถ้าถามว่าทำไมเที่ยวฝรั่งเศสชิวไม่บินลงปารีส? ก็เพราะว่าฝรั่งเศสใต้ที่ฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (France riviera) เช่นเมือง Nice อยู่ใกล้กับมิลานมากกว่าปารีสห่างเพียง 300 กิโล แต่ห่างจากปารีสถึง 600 กิโลแหนะ ดังนั้นบินลงมิลานแล้วนั่งรถไฟต่อไปใกล้กว่าเห็นๆและอีกเหตุผลหนึ่งคืออยากแวะไปชะโงกมิลานสักแป๊ปด้วย ^^
บินตรงพร้อมหนังใหม่จัดเต็มดูเพลิน กินอิ่มนอนอุ่นตามประสาสายการบิน Full service นะจ้ะ
บินการบินไทยง่ายๆเข้าไปซื้อตั๋วเครื่องบินของการบินไทยได้ผ่านเว็บไซต์ www.thaiairways.com เมื่อจัดการจองเรียบร้อยแล้วจะได้รับ email confirm มาเอาไปใช้ในการขอวีซ่าได้เลย และก่อนเวลาเดินทาง 24 ชั่วโมงระบบจะเปิดให้ทำ online checkin ที่เว็บไซต์ www.thaiairways.com หรือทำผ่าน Application มือถือของการบินไทยก็ได้เช่นเดียวกัน (ในตัวอย่างผมใช้ mobile)
ในระหว่างเช็คอินออนไลน์เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น
- เพิ่มระบบสะสมไมล์
- เลือกที่นั่งที่ต้องการ
- ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเดินทางเพิ่ม
- อัพเกรดที่นั่งเป็นคลาสสูงขึ้น
 แนะนำอย่างยิ่งให้เช็คอินล่วงหน้า นอกจากจะทำให้เราไม่ต้องต่อไปคิวยาวๆที่สนามบินแล้ว เรายังเลือกที่นั่งสวยๆได้ด้วย(ถ้ายังว่าง) เช่น ขากลับชิวเลือกที่นั่งหน้าสุด ที่มีพื้นที่วางขายาวมาก นั่งสบายกว่าเยอะเลย
แนะนำอย่างยิ่งให้เช็คอินล่วงหน้า นอกจากจะทำให้เราไม่ต้องต่อไปคิวยาวๆที่สนามบินแล้ว เรายังเลือกที่นั่งสวยๆได้ด้วย(ถ้ายังว่าง) เช่น ขากลับชิวเลือกที่นั่งหน้าสุด ที่มีพื้นที่วางขายาวมาก นั่งสบายกว่าเยอะเลย
Day1 : Milan – Nice
วันแรกของการเดินทางเครื่องบินมาถึงสนามบินมิลานตอนเช้าประมาณ 7 โมง ผ่านตม. รับกระเป๋าแล้วซื้อตั๋วรถบัสจากสนามบินเข้าเมือง พวกเราจะแวะเที่ยวชะโงกทัวร์กันในมิลานกันครึ่งวัน โดยอยู่แถวๆ Duomo เที่ยวเบาๆจิบกาแฟสไตล์คนอิตาลี ก่อนจะกระโดดขึ้นต่อรถไฟจากมิลานตรงไปยังเมืองนีช(Nice) ที่เราได้จองตั๋วรถไฟล่วงหน้ามาแล้วผ่านเว็บการรถไฟอิตาลี http://www.trenitalia.com/ (ยิ่งล่วงหน้ายิ่งถูก) พอขึ้นรถแล้วนั่งๆนอนๆยาวไปจนถึงเมืองนีชตอนค่ำ ถึงแล้วลากไปเข้าที่พัก พักผ่อนเอาแรงก่อน คล่อกกก
Day2 : Eze – Monaco
เราจะเริ่มเที่ยวแบบจริงจัง ชิวพักที่เมืองนีช 3 คืนเลยทำเป็นที่พักหลักและเที่ยวเมืองรอบๆจะได้ไม่ต้องย้ายกระเป๋า โดยแพลนวันนี้คือไปหมู่บ้าน Eze และประเทศโมนาโก เริ่มเช้านี้ไปหมู่บ้าน Eze กันก่อนเลย วิธีการเดินทางจากสถานีเมืองนีชให้นั่ง Tram ไปลงที่สถานีรถบัสชื่อ Gare Routière Nice Côte d’Azur จากนั้นขึ้นรถบัสสาย 82 นั่งขึ้นเขายาวไปวิ่งตรงจนมาจอดที่ตีนหมู่บ้าน Eze เลย ( รอบรถสาย 82 มีรอบดังนี้ 8:55 / 10:40 / 12:40 / 14:10 / 15:45 ) จะเห็นว่าเวลาค่อนข้างห่างกันมากเช็กเวลาให้ดีๆนะ
หมู่บ้าน Eze เป็นหมู่บ้านที่อยู่บนที่สูง(มาก) เป็นหมู่บ้านที่สูงสุดแถบนี้ทำให้รอดพ้นจากการคุกคามมาได้ สภาพยังค่อนข้างสมบูรณ์ วิธีการเที่ยวอย่างเดียวคือ “เดิน” เดินลัดเลาะตามเมืองเก่าสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า แวะชมอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพลินๆ ชิวๆไปจ้ะ
เดินวนหลงไปหลงมาสักพัก เราก็หาทางเดินขึ้นไปยังยอดได้ บนยอดจะเป็นสวนต้นไม้จำพวกบอระเพ็ด ตัวหมู่บ้านเดินฟรีแต่ขึ้นไปโซนสวนที่เป็นจุดชมวิวสุดพีคต้องเสียเงิน 6 ยูโร ค่าเข้าแพงแต่ต้องยอมรับเลยว่าวิวสุดยอดจริงๆ มองไกลสุดลูกหูลูกตามีสวนให้ดูเล่นเพลินๆ แนะนำพกขนมปังมาทานเป็นมื้อกลางวันชมวิวไปด้วยจะฟินมากกกก
เที่ยวหมู่บ้านนี้ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ครบละ มานั่งทานกาแฟราคาแพงที่รสชาติไม่ได้เรื่องฝั่งตรงข้ามเพื่อรอรถสาย 82 (สายเดิม) ที่จะพาเราไปต่อที่ประเทศโมนาโก ก่อนเวลารถมา 10 นาทีพวกเรามายืนรอที่ป้ายรถบัสเพื่อรอขึ้นไปโมนาโก รถเบอร์ 82 มุ่งหน้าเข้าเขตประเทศโมนาโกก่อนสัญญาณมือถือโรมมิ่งของเราจะหายไปเพราะไม่รองรับ พอรถจอดให้เดินต่อไปอีกนิดจะเป็น tourist information ถามหา map และข้อมูลรถได้เลย (พวกเราเดินหลงกันตั้งนานกว่าจะหาเจอ)
ที่แรกที่ไปคือ Montecarlo บ่อนใหญ่และดังสุดของเมืองนี้แต่สามารถถ่ายได้เพียงข้างนอกเท่านั้น เพราะถ้าแต่งตัวไม่ภูมิฐานใส่สูทผูกไทด์ อะไรทำนองนี้เค้าไม่ให้เข้านาจา แล้วพวกเราแบกเป้มาแบบนักท่องเที่ยวรองเท้าผ้าใบเลย มีหรือจะผ่าน หืมมมมมม
จากมอนติคาโล เราเดินผ่านไปมุ่งหน้าลงไปที่ชายหาดสาธารณะตามแผนที่ที่ได้มาตากี้ เดินไปเรื่อยๆชมรถหรู ชมรีสอร์ทหรู ชมอะไรสวยหรูไปเรื่อย ประเทศนี้คนเค้ารวยจริงจัง
 เดินมาเรื่อยๆจนถึง Plage du Larvotto หาดเค้าก็คือธรรมดามากกกกกก ถ้าเทียบกับหาดบ้านเรา เป็นหาดเล็กๆมากจริงๆแต่ก็สะอาดสะอ้านน่าชมดี
เดินมาเรื่อยๆจนถึง Plage du Larvotto หาดเค้าก็คือธรรมดามากกกกกก ถ้าเทียบกับหาดบ้านเรา เป็นหาดเล็กๆมากจริงๆแต่ก็สะอาดสะอ้านน่าชมดี
ไหนๆจะซื้อตั๋ววันอยู่แล้วเลยกระโดดขึ้นรถซื้อตั๋วรถบัสเหมาราคา 5.5 ยูโรแล้วไปลงป้ายเดียวที่ Grimaldi Forum เป็นเหมือนอิมแพคบ้านเราละกัน มันเป็นที่จัดงานหรูๆ นิทรรศการอะไรทำนองนี้นะ มาแวะเช็คอิน โพสท่าคูลๆสักหน่อย
โดดขึ้นบัสต่อไปยัง Rock of Monaco พื้นที่สูงที่เป็นทั้งจุดชมวิวและที่ตั้งของพระราชวังโมนาโกอีกด้วยนะ พอมาถึงแล้วจะเจอซอยมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง สองข้างทางขายของน่ารักตลอดเส้นทางเลย
 เดินมาจนสุดทางจะเจอพระราชวังยิ่งใหญ่อลังการมาก แต่เรามาช้าไปหรือไม่เปิดให้เข้าไม่รู้ สรุปคือไม่ได้เข้าไปชมหรอก แต่ไม่เป็นไรเพราะเราตั้งใจมาดูวิวมุมสูงของเมืองโมนาโกตังหาก
เดินมาจนสุดทางจะเจอพระราชวังยิ่งใหญ่อลังการมาก แต่เรามาช้าไปหรือไม่เปิดให้เข้าไม่รู้ สรุปคือไม่ได้เข้าไปชมหรอก แต่ไม่เป็นไรเพราะเราตั้งใจมาดูวิวมุมสูงของเมืองโมนาโกตังหาก



ได้ชมวิวโมนาโกมุมสูงสมใจแล้ว รอบขากลับนี่เดินลงเขาไป แล้วเดินต่ออีกนิดเดียวก็จะเจอสถานีรถไฟขึ้นรถไฟกลับไปยังเมือง Nice ที่พักของเรา นั่งแค่แป๊ปเดียวก็ถึง
Day3 : Cannes – Nice
เช้านี้เรามีภารกิจพิชิตเมืองคานส์กัน คานส์ที่ชมพู่ไปเดินพรหมแดงไงแกร เราก็อยากไปเดินบ้างไรบ้าง วิธีการไปเมือง Cannes เรื่องจากเมืองนีชที่เราอยู่ง่ายมากซื้อตั๋วรถไฟและนั่งรถไฟแค่ 30 นาทีก็ถึง
พอมาถึงสถานีแล้วก็รู้สึกเลยว่าหลงรักเมืองนี้หนักมาก ทุกอย่างมันสวยงาม มันลงตัวไปหมด เดินลัดเลาะริมหาดไปจนถึง Palais des Festivals สถานที่จัดงานสวยๆ ผ่านไปอีกนิดก็จะเจอพรมแดงทอดยาว สามารถไปยืนถ่ายรูปเล่นกันได้
เวลาน้อยใช้สอยประหยัดรีบเดินต่อมุ่งหน้าสู่จุดชมวิวบนเขาที่เป็นที่ตั้งของโบถส์ Notre Dame d’Espérance พอขึ้นมาแล้วบอกได้คำเดียวว่า “สุดยอดดดดดดดด” มันสุดยอดจริงๆไม่เชื่อดูรูป อวดไปได้อีกสิบชาติ
 
  
  
  
  ถ่ายรูปจนฟินแล้วเดินย้อนทางเดิมลงมาตีนเขาและมุ่งหน้าไปดูหาดของเมืองคานส์กัน หาดเมืองนี้สวยมาก และมีชีวิตชีวา ผู้คนมานั่งเล่น มาทำกิจกรรม มานอนอาบแดด เจ๋งโคตรเลยฮะ
ถ่ายรูปจนฟินแล้วเดินย้อนทางเดิมลงมาตีนเขาและมุ่งหน้าไปดูหาดของเมืองคานส์กัน หาดเมืองนี้สวยมาก และมีชีวิตชีวา ผู้คนมานั่งเล่น มาทำกิจกรรม มานอนอาบแดด เจ๋งโคตรเลยฮะ
อิ่มกับคานส์พอสังเขปก็เดินกลับมาสถานีกัน เช็กเวลารถไฟรอบถัดไปที่จะกลับเมืองนีชแล้วยังพอมีเวลา เลยรองท้องด้วยแฮมเบอร์เกอร์ขนาดยักษ์และเฟรนช์ฟรายส์ จากร้านฟาดฟู้ดไม่ติดแบรนด์ตรงข้ามสถานี อิ่มอ้วนเอาเรื่องทีเดียว
บ่ายๆเรานั่งรถไฟกลับมาถึงสถานีเมืองนีช เราจะไปโบถส์สุดเฟี้ยวที่คล้ายกับโบถส์ดังกลางเมืองมอสโคว์ประเทศรัสเซียสุดๆ ชื่อว่า St Nicholas Russian Orthodox Cathedral เดินไกลพอสมควรครับแต่ก็คุ้มนะที่ได้มา
ชมโบถส์เสร็จแล้วเดินลากสังขารย้อนกลับทิศเข้าเมือง ตัวเมืองนีชค่อนข้างคึกคักครับ นักท่องเที่ยวเยอะมาก ร้านค้าก็เยอะมากเช่นกัน เพราะถือเป็นเมืองใหญ่ที่ผู้คนใช้ปักหลักเที่ยวในแถบนี้ 
  
  
  
 
เราเดินไปเรื่อยๆผ่านจตุรัส Place Masséna มุ่งหน้าสู่จุดชมวิวมุมสูงของเมืองนีชที่ชื่อว่า Ascenseur du Chateau วิวมุมสูงนี้ทำให้เราเห็นชายหาดสีแปลกตาทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา พร้อมกับบ้านเรือนหลากสีที่ผสมกลมกล่อมชะมัด
Day 4 : Marseille
เราพักที่เมืองนีชอยู่ 3 คืนและเที่ยวรอบๆได้เวลาโบกมือลา เพราะวันนี้เราจะย้ายถิ่นฐานไปปักหลักเมืองถัดไปนั่งคือเมือง Marseille (มาร์กเซย) แต่ที่โน้นเค้าอ่านกันว่า “มาซายน์” ดังนั้นผมขอเรียกตามที่เค้าอ่านกันนะ เมืองมาซายน์นี่อ่านจากพันทิปว่าอันตรายมากกกก เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของฝรั่งเศส เมืองใหญ่โจรเยอะต้องระวังให้ดี
 แต่แค่แรกสัมผัสได้เห็นเมืองที่ทอดยาวจากสถานีรถไฟก็รู้สึกตกหลุมรักเมืองนี้เข้าซะแล้วเมืองอะไรสวยจัง ลืมภาพความน่ากลัวที่อ่านมาไปหมดสิ้น ฉันชอบแก!
แต่แค่แรกสัมผัสได้เห็นเมืองที่ทอดยาวจากสถานีรถไฟก็รู้สึกตกหลุมรักเมืองนี้เข้าซะแล้วเมืองอะไรสวยจัง ลืมภาพความน่ากลัวที่อ่านมาไปหมดสิ้น ฉันชอบแก!
เราจองที่พักใกล้สถานีมากแบบแค่ลงบันไดก็ถึงโรงแรมเลยชื่อว่า Hôtel Marseille Saint-Charles ราคาคืนละ 2 พัน วิวดีมาก สะอาดสะอ้าน ห้องกว้าง นอนสบาย คือดีงามทุกสิ่งอย่างเลยแนะนำมาก ลิงค์จอง https://goo.gl/iXbl0a
เก็บของเสร็จก็ได้เวลาสำรวจเมืองกันเราเดินตรงยาวไปยังอ่าวของเมือง(Port) ตามคำแนะนำของ tourist information ที่แนะนำมา ระหว่างเดินได้สักพักก็เหลือบไปเห็นโบถส์สวยๆทางซ้ายมือเลยได้ไปถ่ายรูปกันมาค้นทีหลังชื่อ St. Vincent de Paul Church สวยมากก็ลองแวะไปดูนะ
เดินต่อยาวไปตามถนนเส้นหลักจนมามาเจอท่าเรืออยู่ตรงหน้า พร้อมชิงช้าสวรรค์ไซส์บิ๊ก และผู้คนมากมายเป็นสัญญาณบอกว่าเรามาถึงใจกลางแหล่งท่องเที่ยวแล้ว
ตามแผนที่บอกว่าพอเจอ Port แล้วให้เลี้ยวขวาเลาะไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าสู่ Maison Diamantée ไปจ้ะเดินเลาะชมนกชมไม้ไปเรื่อย
เดินจนมาเจอคนมุงร้านไอติมร้านหนึ่งชื่อ Glacier Vanille Noire ที่เขียนว่าตัวเองขึ้นชื่อเรื่อง วนิลาสีดำ สายไอติมแบบเราไม่รอช้าจัดมาลิ้มลองซี้ ขอรีวิวสั้นๆก็คือดีอร่อยดี แต่ไม่ได้มากมายมหาศาลอย่างที่คาดไว้นะ เราว่าเนื้อมันยังไม่เข้มข้นเหมือนไอติมอิตาลีแต่โอเคไม่เสียดายตัง
เดินๆแล้วรู้สึกฝั่งนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ผมเลยเดินลอดอุโมงสวยๆย้อนกลับไปยังอ่าวดีกว่า บรรยากาศร้านค้าริมอ่าวดีกว่ามากมีความครึกครื้นชื่นบานกว่าเยอะเลย
แต่นั่นยังไม่ใช่เป้าหมายเพราะเป้าหมายเราก็คือ Église Saint-Laurent จุดชมวิวสวยๆที่มองเห็นท่าเรือทั้งท่าเลย (แต่ยังไม่ใช่ที่พีคสุด…ติดตามต่อไป)
ติดกันจะมีทางเชื่อมไปยัง MuCEM ( Museum of European and Mediterranean Civilisations ) ไหนๆมาแล้วเอ้าไปก็ไปเดินต่อข้ามสะพานกันไป แล้วก็ไม่ผิดหวังข้างในนี้ดีงามมากกกกกกกกกก ควรค่าแก่การมาที่สุด เป็นทั้งจุดชมวิวที่สวยงาม(กว่าตากี้) มีสวนหย่อม มีจุดพักผ่อนหย่อนใจ มีแสงและเงาสวยๆให้ถ่าย โคตระดีเลย
 จะนอนอาบแดดแบบนี้ก็ด้ายยยยยย
จะนอนอาบแดดแบบนี้ก็ด้ายยยยยย ปีนหอคอยขึ้นมาด้านบนจะเป็นจุดชมวิวสวยสุดๆไปเลย ขึ้นฟรีด้วยนะ
ปีนหอคอยขึ้นมาด้านบนจะเป็นจุดชมวิวสวยสุดๆไปเลย ขึ้นฟรีด้วยนะ 
 
หลังจากฟินกับวิวตากี้แล้วเราจะไปที่จุดสูงสุดของเมืองกันที่ Basilique Notre-Dame de la Garde อืมจริงๆมันเดินขึ้นไปได้นะ แต่ด้วยสังขารตอนนี้แล้วนั้นไม่ไหวแล้วเมื่อยมาก ขอแค่ลากตัวเองไปขึ้นรถนำเที่ยวพาขึ้นไปดีกว่า รถนำเที่ยวจะจอดอยู่ใกล้ๆกับท่าเรือทางด้านขวานะ หรือพิกัด Google พิมพ์ว่า Petits trains de Marseille ค่ารถไฟไปกลับสำหรับนักท่องเที่ยวราคาอยู่ที่ 14 ยูโร (จริงๆมันมีรถบัสขึ้นไปด้วยนะลองถามดูจะประหยัดกว่าเยอะ)
เนื่องจากเป็นรถไฟนำเที่ยว รถไฟก็จะลัดเลาะอ้อมถนนเลียบริมทะเลให้เราได้ชมเมืองสวยๆ วิวสวยๆตัดกับน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้ม นั่งเพลินๆยาวไปประมาณ 30 นาทีก็จะมาถึงตีนโบถส์ล่ะ
พอมาถึงลานจอดรถแล้วต้องเดินขึ้นอีกนิดหนึ่งบันไดแค่ 30 ขั้นก็จะได้เจอวิวพีคๆแบบนี้เลย มองเห็นเมืองทั้งเมืองจริงๆของแท้แน่นอน ดูวิวเสร็จแล้วก็เข้าไปสำรวจโบถส์สักหน่อย สวยไม่เบาเลยนะที่นี่ มีความประดับประดาสีทองเต็มไปหมดอลังการเลย
วิวสวยๆจากหน้าโบถส์ตากี้ วิวเมืองแบบ 360 ดูกันให้เต็มตา
ดูเสร็จแล้วก็นั่งรถไฟนำเที่ยวเดิมกลับมาที่จุดเริ่มต้นแล้วเดินลัดเลาะอ่าวไปเรื่อยๆเพลินๆ เก็บบรรยากาศไปจากตอนแรกคิดว่ามันต้องน่ากลัว ต้องอันตราย ต้องระวังตัว เปล่าเลยเมืองนี้สวยมากกกกกกก แล้วถนนสายหลักย่านท่องเที่ยวก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด (มีตอนมืดแถวสถานีรถไฟรู้สึกไม่โอเค เข้าห้องก่อนมืดแล้วกันนะ)
Day 5 : Aix en provence
เช้าวันที่ 5 เรายังพักอยู่ที่เมืองมาซายน์ แต่ช่วงเช้าจะไปเที่ยวเมืองใกล้กันชื่อ Aix en provence (เอกซอง-โปรวองซ์) เมืองหลวงเก่าแถบนี้เราจะกลับไปสัมผัสอารยธรรมของฝรั่งเศสยุคเก่ากัน วิธีการง่ายๆเช่นเคยนั่งรถไฟไป แนะนำให้ซื้อตั๋วแบบไปกลับเลยทีเดียวจะง่ายไม่ต้องไปต่อแถวซื้ออีกรอบขากลับ เวลาขากลับเราจะขึ้นเที่ยวไหนก็ได้แล้วแต่สะดวกเลย
เมือง Aix en provence เนี้ยเป็นเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยน้ำพุมากมายทั่วทั้งเมือง และเป็นเมืองน่ารักเล็กๆที่ไม่ได้มีแลนด์มาร์คหรือจุดสำคัญใดๆที่แบบต้องไป วิธีการเที่ยวให้สนุกที่สุดคือปิดแผนที่เลยแล้วเดินหลงไปเรื่อยๆ เดินแบบใช้ใจนำไป เจออะไรอร่อยกิน เจออะไรสวยก็แวะ เจอร้านกาแฟน่านั่งก็หยุดไรงี้
 
  
  มื้อเช้าของเราเป็นพิซซ่าชีสแน่นจากร้านข้างทางที่ไร้ชื่อ ถูกแต่อร่อยชะมัด!
มื้อเช้าของเราเป็นพิซซ่าชีสแน่นจากร้านข้างทางที่ไร้ชื่อ ถูกแต่อร่อยชะมัด!
เราไม่รู้จะอธิบายแต่ละจุดในภาพอย่างไรเพราะเมืองมันคล้ายๆกันหมด ผมเดินไปเรื่อยๆตามถนนสายหลักนั่นล่ะ
เราเดินมาเรื่อยๆจนเจอร้าน L’Occitane ร้านที่ทุกคนคงรู้จักดี พออัพภาพลงเฟสเพื่อนก็มาคอมเม้นท์บอกว่าเมืองนี้เป็นต้นกำเนิดของร้าน L’Occitane เลยนะแก ถ้ามีโอกาสมาเมืองนี้ก็ลองตามหาร้านนี้ดูนะ จะได้แบบมาบ้านของ L’Occitane กะเค้าแล้วนาจา
เดินต่อเรื่อยๆก็มาเจอตลาด เป็นตลาดนัดย่อมๆมีขายดอกไม้ ต้นไม้ ของดอง และพลาดไม่ได้คือมีขายสตรอเบอร์รี่ด้วยยยย ไม่รอช้าจัดมารับประทานด่วน!
กินสตรอเบอร์รี่แล้วยังฟินไม่สุด ไปแวะร้านกาแฟนั่งจิบเอสเพลสโซ่ร้อนๆสักช็อต กินคู่กับครัวซองส์นั่งมองผู้คนเดินไปเดินมาก็สนุกได้ เมืองนี้ที่สุดของความชิลล์ละ
 
  
  มันคือขนมดังที่นี่เห็นคนซื้อกันเพียบ รสชาติคล้ายขนมไข่บ้านเราแต่เป็นกลิ่นวนิลา อร่อยแบบทั่วๆไปไม่ฟินนักนะ
มันคือขนมดังที่นี่เห็นคนซื้อกันเพียบ รสชาติคล้ายขนมไข่บ้านเราแต่เป็นกลิ่นวนิลา อร่อยแบบทั่วๆไปไม่ฟินนักนะ 
เดินจนทั่วทั้งเมืองแล้วรู้สึกพอละ เลยนั่งนั่งรถไฟกลับมายังเมืองมาซายน์กันต่อ มาเดินเล่นเก็บตกเมืองเล็กน้อย และภารกิจของเราวันนี้คือ “หาอาหารเอเชียกิน” คิดว่าเมืองใหญ่ระดับนี้มันต้องมีแน่ๆ เปิด Google map หาร้านแล้วเดินไปเรื่อยๆจนเจอร้าน Dakao ที่ใจรู้เลยว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ 555 เราจะไม่ทนกินอาหารฝรั่งอีกต่อไปปปปปป
 เดินเข้าไปจัดเฝอให้ฟินคนละชาม มื้อนี้ 7.5 ยูโรแพงกว่าปกติแต่ไม่เสียดายเลยสักนิด อาหารเอเชียมันฟินเหลือออเกินพี่จ๋า
เดินเข้าไปจัดเฝอให้ฟินคนละชาม มื้อนี้ 7.5 ยูโรแพงกว่าปกติแต่ไม่เสียดายเลยสักนิด อาหารเอเชียมันฟินเหลือออเกินพี่จ๋า
อิ่มแล้วไปต่อได้ พระอาทิตย์ตกสี่ทุ่มโน้นเวลาเหลือเฟือพวกเราเลยเดินเลาะอ่าวทางฝั่งซ้ายมั่ง (เมื่อวานไปขวา) เดินยาวไป มีแวะถ่ายรูปบ้างไรบ้าง เดินไกลจนถึง Aix-Marseille Université เลยนะ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย นอกจากจะเป็นที่ๆสวยมากๆแล้วยังเป็นจุดชมวิวที่ผมคิดว่าพีคในพีคมันคือ “ดีที่สุดในเมืองนี้” วิวนี้เราจะมองกลับไปยังอ่าวทั้งอ่าวได้อย่างชัดเจน และ ตรงกว่าจุดอื่นๆ มองเห็นได้ทั่วเลย ฟินเวอร์วังมาก
ถ้าเดินผ่านไปอีกนิดก็จะเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยสุดๆของเมืองนี้ ผู้คนมานั่งชมกันเพียบเลย เป็นการปิดท้ายวันดีๆที่เมืองมาร์ซายน์มอบให้ที่วิเศษที่สุด
สำหรับทริป French Riviera หรือฝรั่งเศสใต้ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นก็จบลงอย่างประทับใจและอยากบอกต่อให้คนไทยมาเที่ยวมาก เหมาะสำหรับทริปประมาณ 5 วันรวมบินไปกลับก็ 7 วันลาหยุดมาเที่ยวได้สบายๆ หรือจะไปต่อประเทศข้างเคียงหรือย้อนกลับไปปารีสต่อก็ได้ มาเที่ยวกันนะฝรั่งเศสไม่ได้ดีมีแค่ปารีสนะจ้ะ !!
Instragram :@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!
 
 

 
 

















































































