Chill Journey | Thai Travel & Lifestyle blog

พาเที่ยวสเปน มาดริด-บาร์เซโลนา ที่เค้าว่าแซ่บบบบบบ

ทริปนี้เกิดจากผมได้รับคำเชิญให้ไป “สเปน” จากสายการบิน Qatar Airways และ Spain tourism board ในฐานะ “สื่อออนไลน์” ผมรีบตอบรับแทบไม่ทัน รีวิวนี้ก็จะมาเล่าประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาเล่าสู่กันฟังครับ

สเปนมันอยู่ตรงไหนของโลกใบนี้

คำถามที่คนสงสัย สเปนอยู่ในทวีปยุโรปครับ เอาง่ายๆคือมันอยู่ใต้ฝรั่งเศสนั้นหล่ะ แต่สำหรับคนไทยมักมองข้ามประเทศนี้ไป เที่ยวกันแต่ ฝรั่งเศส-สวิส-อิตาลี(รวมถึงผม 555 )

ข้อมูลเป็นประโยชน์ก่อนไปเที่ยวสเปน

-สเปนอยู่ในเขตเชงเก้น ดังนั้นจะเข้าก็ใช้วิธีการขอวีซ่าเชงเก้นเหมือนประเทศอื่นในกลุ่มยุโรปนั่นหละ

-เมืองหลวงของสเปน คือ เมืองมาดริด

-คนสเปนใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก แต่คนส่วนมากที่ผมพบเจอก็พูดภาษาอังกฤษได้

-ตามรถไฟฟ้าและขนส่งสาธารณะมีภาษาอังกฤษกำกับ ไม่ต้องห่วง

-รถไฟใต้ดินในเมืองมาดริด และ บาร์เซโลนา ดีมาก ดังนั้นใช้ใต้ดินเถิด

-คนสเปนอาหารมื้อหลักเค้าคือ มื้อกลางวันดังนั้นมือกลางวันจะจัดเต็ม แต่มือเย็นจะกินเบาๆ

-ควรไปทะเลสเปน เพราะแซ่บมากบอกตรงๆ

-จองรถไฟได้ที่www.renfe.com ถ้าจองแต่เนิ่นๆจะได้ตั๋วราคาโปรโมชั่นถูกกว่าปกติประมาณ 20-30%

-สเปนเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่ดีมาก เพราะสเปน Tax refund เยอะระดับบนๆของยุโรป15.7%

-บาร์เซโลนา คือเมืองที่ผมหลงรักไปแล้วววว คุณต้องไปผมแนะนำจริงๆ


แผนเที่ยว -July 2015 ทริปสั้นๆ 6 วันแต่เน้นคุณภาพมีตารางตามนี้ครับ

Day1 – BKK – Madrid

Day2 – Madrid

Day3 – นั่งรถไฟไป Barcelona

Day4 – Barcelona City tour

Day5 – Barcelona ( Camp nu & shopping La Roca Village )

Day6 – Barcelona ครึ่งวันและบินกลับไทย


 

Day1 BKK-Doha-Madrid

เริ่มต้นทริปด้วยการเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิบินไป Madrid เมืองหลวงของสเปน ด้วยสายการบิน Qatar Airwaysซึ่งสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส สามารถบินเริ่มต้นจากกรุงเทพ หรือ ภูเก็ตได้ทั้งคู่โดยจะไป Transit แวะพักให้ช็อปปิ้งกันที่เมือง Doha ก่อนบินต่อไปยังจุดหมายปลายทางอีกมากกว่า 100 ที่ทั่วโลก ตารางบินถี่มากดูข้อมูลเพิ่มได้ที่ site :http://www.qatarairways.com

 

จาก Economy นั่งหลังขดหลังแข็งรอบนี้ชีวิตดีได้บิน Business class ครับ แต่ได้ฟินไปจนถึงแค่โดฮาเท่านั้น จากนั้นถูกถีบตกสวรรค์บิน Economy เหมือนเดิมไปมาดริดครับ 555

_MG_8627

เป็นการขึ้น Business class ครั้งแรกของผมตื่นเต้นครับทำไรไม่ถูก ต้องขอบคุณแอร์ที่ช่วยแนะนำให้ทุกอย่างเลยครับ อาหารอลังและอร่อยมาก ที่นอนปรับนอนได้ 180 องศา เอวี่ติง จิงกาเบล ดีไปหมด เข้าใจแล้วว่าทำไมคนมีตังเค้าบิน Business class กันบอกตรงๆถ้ามีตังจะไม่ทนนน

 

.ใช้เวลานั่งประมาณ 6 ชั่วโมงก็จะมาถึงสนามบิน Hamad International Airport เมือง Doha ตอนนี้เป็นสนามบินใหม่แล้วครับสวยมากอลังมากจนน่าตกใจ มาสนามบินนี้จะพลาดไม่ได้เลยต้องมาถ่ายรูปน้องหมียักษ์

 

จากนั้นเจ้าหน้าที่กาตาร์ แอร์เวย์ส ก็พาทัวร์สนามบินในฝั่งของ Business class lounge ผมเอาภาพมาให้ดูความอลังเล็กน้อยก่อนไว้อ่านต่อเรื่องหรูๆไฮโซๆตอนหน้านะ

จากสนามบินเมืองโดฮา เรานั่งเครื่องบินต่ออีกประมาณ 7 ชั่วโมงก็มาถึงกรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปนแล้วครับ ความประทับใจแรกคือสนามบินที่นี่ตรงจุดรับกระเป๋าแปลกตาดี ^^

บ่ายแล้วขึ้นบัสที่ทางการท่องเที่ยวสเปนจัดไว้ให้ไปทานร้านอาหารที่เก่าแก่สุดในโลก

หมายเหตุ : สำหรับเพื่อนๆที่มาด้วยตัวเอง จากสนามบินจะนั่ง metro , รถไฟไปตัวเมืองก็ได้เช่นกันครับ

El Botin (Oldest Restaurant in the World)

Metro Station – Opera / SOL ( อยู่ใกล้กับ Plaza Mayor )

ร้านนี้เป็นร้านไม่ใหญ่โตครับประมาณ 2 ห้องแถว เราได้นั่งชั้นใต้ดินอารมณ์เหมือนเข้าถ้ำไรงี้อาหารจานเด็ดของที่นี่คือ หมูย่าง/แกะย่างอย่าเพิ่งตกใจกับภาพที่ถ่ายมานะครับ คือเค้าจะเอามาเยอะๆก่อนค่อยแบ่งใส่จานทีละคนที่สั่งอีกทีครับ สำหรับร้านนี้นอกจากจะมีตำนานว่าเก่าแก่สุดในโลกแล้ว รสชาติยังอร่อยอีกด้วย (และให้เยอะมาก สองคนจานเดียวก็พอนะ) ผมกินหมูย่างแล้วปิดท้ายด้วยขนมหวานสั่งเมนูแนะนำของร้านเช่นกัน “ไวท์ช็อคชีสเค๊ก” อร่อยมาก มื้อแรกก็ฟินนนนน

กินแล้วได้เวลานอน เฮ้ย.. ได้เวลาเช็คอิน สองคืนที่มาดริดเราจะพักกันที่โรงแรม We Are Chamartin ที่พักนี้อยู่ชานเมืองหน่อย ผมลองนั่งใต้ดินกลับจากตัวเมือง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที  ข้อดีของโรมแรมคืออยู่ติดทั้งรถใต้ดิน และ รถไฟเลย โรงแรมสะอาด นอนสบาย อาหารเช้าอร่อย ราคาประมาณ 2 พันนิดๆ ถือว่าโอเคเลยหล่ะ

Metro Station – Chamartin , site : http://www.hotelchamartin.com/EN/hotel.html

เค้าให้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเช็คอินครับ ผมเอากระเป๋าเก็บห้องเสร็จก็ออกสำรวจรอบๆโรงแรม หาช่องทางในการออกไปเที่ยวต่อด้วยตัวเองหลังจบโปรแกรมตามประสา backpackerและก็พบขุมทรัพย์ว่าโรงแรมมันอยู่ติด metro เลย รวมทั้งติดสถานีรถไฟอีกด้วยมาดริด เดียวเราเจอกัน!

วันแรกเราทาน Dinner ที่ “Platea” Metro : Serrano , Site : http://www.plateamadrid.com/

 

ที่นี่สำหรับผมขอนิยามว่าเป็นโรงออร์เคสตรา (orchestra)ที่ดันมีอาหารมากมาย มีอาหารแทบทุกชนิดให้เลือกสรรค์ รวมทั้งเครื่องดื่ม L ก ฮ ด้วยครับ บรรยากาศดีเหมาะสำหรับพาคนรักมาดินเนอร์มากกกกก จิบไวน์ ฟังเพลง เพลินนนนและที่ทำให้ผมประทับใจเพิ่มคือการออกแบบ ที่นี่มีทั้งหมด 5 ชั้นแต่แม้แต่ชั้นล่างสุดก็ให้บรรยากาศที่โปร่งและมองเห็นนักร้องได้ชัดเจน ฟังเพลงได้ไม่ต่างกะชั้นอื่นเลย

ถ้าได้พาใครสักคนมา dinner ที่นี่มันจะโรแมนติกมากกกก

คนสเปนมื้อดึกเค้าจะทานอะไรเบาๆอย่างเช่น ทาปาส ( อารมณ์ขนมปังออเดิฟ ) ทานอิ่มแล้ว

ปิดท้ายด้วยของหวานน่ารักน่าทาน อ้วนๆก่อนนอนกันไป เป็นวันจบวันแรกกิน-นอน-กินชีวิตดีกันไป

 

Day2 City tour Madrid

เริ่มต้นวันที่ 2 เราจะบุกตะลุยเที่ยวเมืองมาดริดกันครับ จุดเริ่มต้นที่ทุกคนมักจะมาเริ่มกันเวลาเที่ยวกรุงมาดริดก็คือ Plaza mayorถ้าใครนั่งรถใต้ดินมาก็ลงสถานี SOL ครับ

เมื่อมาถึงแล้วผมแนะนำให้คุณไปเที่ยวพระราชวังกรุงมาดริด (Royal Palace of Madrid ) เป็นอันดับแรก เพราะถ้าสายๆวันหยุดคิวจะยาวมากกกก ดังนั้นให้ไปก่อนเลย ต่อคิวซื้อตั๋วเข้าในราคา 10 EU ครับ

ด้านในก่อนเข้าตัวอาคารก็ประทับใจแล้ว

.ภายในวังที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นวังสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เทียบชั้นกับแวร์ซายน์เลย เวลาผ่านแต่ละห้องโถง อลังการมากแต่ละคนอุทาน ว้าวว ว้าววว ตลอดทาง แต่คือออออ ที่นี่ไม่ให้ถ่ายรูปด้านในถ่ายมาได้แค่ปากทางเข้าเท่านั้นครับ ดังนั้นต้องมาดูเองนะครับ ถ่ายภาพมาฝากไม่ได้จริงๆ

ก่อนจากกันขอภาพส่วนตัวเก็บไว้หน่อยเฮ้!

.จบจากการชมวังเดินย้อนกลับทางเดินมุ่งหน้าสู่ Plaza mayor ครับ ก่อนจะถึงเราจะเจอ Mercado San Miguel ตลาดไฮโซติดแอร์อยู่ทางขวามือตลาดนี้ผมเคยฟังมาว่าเป็นการคัดสรรค์ร้านดังๆทั่วสเปนมาไว้ที่นี่ ราคาจะแพงหน่อยแต่คุณภาพและรสชาติเชื่อถือได้แน่นอน เพราะไม่ดีจริงถูกคัดออกจากตลาดครับ

สำรวจตลาดไฮโซหน่อย มีผลไม้เมืองหนาวสดๆสวยๆ

อีกหนึ่งสิ่งที่ว่าเด็ด คือ หอยนางรมสดๆ ตัวละประมาณ 2-3.5 EU ตามขนาดความใหญ่เบิ้มของหอย โดยทานคู่กับไวน์ขาว

บรรยากาศภายในตลาดแบบกว้างๆมีร้านภายในประมาณ 20 ร้านที่ถูกคัดเลือกเท่านั้น ร้านไหนไม่ดี ชิ่ว

 

จากนั้นผมก็เดินสำรวจบ้านเมืองแถวๆย่าน Plaza mayor และรอบๆนั่นหล่ะครับ

พอบ่ายเราก็ไปห้าง El Corte Ingles Department ( Metro : Santiago Bernabeu )

ห้างนี้เป็นสวรรค์ของสาวนักช็อปแน่นอน เพราะเป็นห้างที่ใหญ่สุดในยุโรป มีทุกแบรนด์ และ ตามที่บอกไปว่าสเปน Tax refund 15.7% ใครพาแฟนมาระวังบัตรให้ดี

อีกหนึ่งความช็อคของผมคือที่นี่มี Personal shopper ครับ ใครไม่รู้จะแต่งตัวยังไงให้เข้ากับตัวเอง หรือขี้เกียจเดินหาของมาตรงนี้ได้มีคนช่วยช็อป เห้ยยยย คนมีตังนี่มันช่างดีเหลือเกิน มีสตางค์จะทำอะไรก็เพลินจะตายเดียวๆๆไม่ใช่เพลงบอดี้สแลม

และที่ห้างนี้มันใกล้สนามบอล Santiago Bernabéu Stadium สนามบ้านของสโมสร Real Madrid มากๆดังนั้นพนักงานเค้าก็บอกว่านักบอลจะมาที่นี่เป็นประจำเช่นกัน สั่งไวน์ขวดละ 800 EU ทีละลังเป็นเรื่องปกติค่ะ

สมองแล่นครัช ลองคูณกลับเป็นเงินไทย สามแสนห้าหมื่นบาททท!!เห้ยยย อะไรยังไง นักบอลรวยไป กลับไปหัดเตะบอลทันไม๊และเนื่องจากมันใกล้สนามบอล มาทั้งทีเดินไปถ่ายรูปกะสนามมาดริดหน่อย ประทับตราไว้ “เด็กผีมาเยือน”

เย็นๆก็ย้อนกลับไปเดินเล่นย่าน Plaza mayor ไล่ลงมาด้านล่างเรื่อยๆครับ เดินย่อยรอค่ำเพื่อทาน dinner พร้อมดูระบำเปลื้องผ้า ผิดดดดด ดู Flamenco Showศิลปะเด่นของเมืองสเปนเค้านะครับ

เรามา Dinner and Flamenco Show ที่ร้าน Tablao Villa Rosa ร้านนี้แสดงได้ Flamenco show ได้แซ่บมากกก สำหรับคนจินตนาการไม่ออก ผมว่าคล้ายกับแท๊ปแด๊นซ์แต่เป็นเพลงสเปนและหนักแน่นกว่า

( ใครอยากรู้โชว์เน้นๆเป็นไง youtube อันนี้เลย https://www.youtube.com/watch?v=dY5yOUev_ZI )

จบจากโชว์ 4 ทุ่มทุกคนก็กลับโรงแรม … แต่ผมไปต่อ ผมให้เค้าส่งลงที่สถานี Plaza espana ก่อนจากมาดริดในคืนนี้ผมอยากได้บรรยากาศยามค่ำคืนสักหน่อย ก่อนลงเจ้าหน้าที่สเปนกังวลอย่างเห็นได้ชัด

จนท. “ชิล ยูแน่ใจนะว่ากลับถูก มีนามบัตรโรงแรมแล้วใช่ไหม เรียกแท็กซี่กลับนะ”

ผม “อย่ากังวลไปเลย นี่ประเทศที่ 21 ของไอนะ และนามบัตรโรงแรมผมมีแล้วครับ”

จาก Plaza espana เดินต่อไปอีกนิดเดียวก็จะถึง Temple of debod เป็นวัดอียิปต์โบราณครับ จริงๆตอนที่มาถึงนี่ฟ้ามืดเกินไปแล้วหล่ะ แต่ผมเป็นประเภทถึงแม้ไม่สวยผมก็อยากไปดูด้วยตาตัวเอง อย่างน้อยเราก็ได้รับรู้แล้วว่าอะไรเป็นยังไงเน้อะจากนั้นผมก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับไปโรงแรมครับ บรรยากาศใต้ดินมาดริดโอเคนะ ผมว่าไม่น่ากลัวเท่ากับที่โรม หรือ มิลานครับ

Day3 Madrid – Barcelona

ได้เวลาโบกมือลากรุงมาดริดและมุ่งหน้าสู่เมือง บาร์เซโลนา ทั้งสองเมืองอยู่ห่างกันประมาณ 600 กิโลแต่รถไฟความเร็วสูงวิ่งเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้นครับ อย่างที่บอกไปเน้อะจองรถไฟได้ที่http://www.renfe.com ถ้าจองแต่เนิ่นๆจะได้ตั๋วราคาโปรโมชั่นถูกกว่าปกติประมาณ 20-30%

บรรยากาศสถานีรถไฟหลักกรุงมาดริด จะมีต้นไม้ตรงกลางด้วย แปลกตากว่าที่อื่นที่เคยไปมา

สำหรับตั๋วที่จองออนไลน์มาแล้ว ปริ้นออกมาเอาไปขึ้นรถไฟได้เลยครับไม่ต้อง verified อะไรเพิ่มแล้ว เราได้ตั๋วราคาโปรมาในราคา 90 EU ครับ

รถไฟความเร็วสูงหรูหราตามมาตรฐานรถไฟยุโรปครับ ที่นั่งสำหรับคนเอเชียต้องบอกว่ากว้างมากๆเลยหล่ะนั่งสบาย และระหว่างนั่งรถไฟถ้าหิวก็มีตู้เสบียงให้เสียตังกันได้ครับ

.    ใช้เวลา 3 ชั่วโมงรถไฟตรงมาถึงตามกำหนดการ 12:35 เป๊ะเราไปทานข้าวกันครับที่ร้านอาหารร้านดัง ติดอับดับมิชิลิน L´Eggs ต่อด้วยกินขนมร้าน Escribaทั้งสองร้าน อร่อยจนผมแทบจะเลียจาน (ติดไว้รีวิวหน้าครับ)

จริงๆวันนี้เราต้องไปเข้า Barcelona Cooking class ครับแต่เกิดเหตุผิดพลาดในการจอง ดังนั้นจึงเป็นเวลาว่างซะงั้น คนจากการท่องเที่ยวสเปน เลยบอกว่าพวกเราLet’s go to da beach !!( ทุกคนดี้ด้า แสดงว่าอยากทำอาหารกันมากกกกกก 555 )

ระหว่างทางไปบีชจะมีร้านค้าขายของกิน ขายของใช้น่าเดินมากๆและแล้วววว ก็มาถึงบีชจนได้ ที่เค้าว่าบีช สเปนมันแซ่บบบบ บอกเลยว่าใช่ มาสเปนไม่มาบีช คือพลาด (สำหรับหนุ่มๆ ขออภัยทำให้ผิดหวัง ไม่กล้าถ่ายมาเพราะมีบางคน Topless กันเลยครับ !! )

ณ ชายหาด Barcelona

พี่แพท : แก เอากล้องมาแล้วปีนขึ้นไปบนนั้นเลย เดียวชั้นถ่ายรูปให้

สิ้นคำแนะนำนักเขียนรุ่นพี่ผมยื่นกล้องให้แล้วปีนขึ้นไปบนอะไรสักอย่าง

.

เห้ย ไปอีกบนสุดเลย … โอเคร้ครัช ปีนต่อ

.

.

กางแขนเลย กว้างๆ เฮ้ยพี่!จะดีเหรอเอานะพี่ 3 2 1 แช๊ะะะะะะะ

 

จากนั้นเข้าเช็คอินกันที่โรงแรม Hotel Gran Derby

Metro : Hospital Clínic , Site : http://www.derbyhotels.com/en/hotel-gran-derby/

โรงแรมนี้เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว นอนสบาย ทำเลดี ใกล้จุดถ่ายรูปอย่าง Montjuic ได้พักที่นี่ทำเอาผมฟินตลอด 3 คืนที่ได้นอนที่นี่เลยเพราะเดินไปถ่ายแสงเช้าแสงเย็นมุมสูงของเมืองบาเซฯ ในระยะ 2 กิโลเท่านั้นเองครับ ^^

ค่ำแล้วทุกคนพักผ่อนที่โรงแรม สาย Backpack ถ่ายรูปอย่างเราออกปฏิบัติการเดินครับ เดินไป Montjuic เพื่อไปชมน้ำพุเต้นระบำสุดอลังการกัน เดินจากโรงแรมเราไป 2 กิโลเมตร หรือถ้าใครพักที่อื่น นั่ง metro มาลงสถานี Plaza espanya ได้เลยครับ

ระหว่างทางไป Montjuic ถนนเมืองมาเซ มีทางเดินตรงกลางใหญ่มากกก ประทับใจแต่แรกสัมผัสเมืองนี้ละครับ

National Art Museum of Catalonia / Font Magica Montjuic

Metro : Plaza Espanya

พอออกจาก metro คุณจะเห็นคล้ายๆวังเด่นเป็นสง่า เดินไปตามทางนั้นเลยครับคนเยอะแยะ

พอสุดทางจะเจอ The Magic Fountain of Montjuïc (Font màgica de Montjuïc)น้ำพุเต้นระบำประกอบเสียงเพลงสุดอลังการก่อนเลย ผมประทับใจมากกกกเดินมาใกล้น้ำพุบรรจงปักขาตั้งกล้องถ่าย แสงสีเสียงมาเต็ม ฟินๆกันไปครัช!

หมายเหตุ : ปิดทำการวันจันทร์ , อังคาร หรือ พุธ ตามแต่ฤดูกาลกรุณาเช็คจากเว็บ official อีกทีครับ

ผมยืนมองน้ำพุเต้นระบำจนสะใจได้เวลาเดินขึ้นบันไดต่อหลังน้ำพุคุณก็จะได้เห็น National Art Museum of Catalonia ตะหง่านตรงหน้า เดินต่อครับ แต่เดินไปนิดเดียวจะเจอบันไดเลื่อนส่งเราไปยังด้านหน้า Museum เลยซึ่งพอขึ้นถึงด้านบนแล้วก็จะได้เจอวิวเมืองอลังๆๆแบบนี้เลย

ซึ่งตอนนี้ก็ค่ำแล้วหล่ะ ได้เวลากลับโรงแรมครับ ด้วยความอยากรู้อยากลองแทนที่จะเดินกลับโรงแรมเหมือนขามา ดันทะลึ่งอยากลองนั่งรถใต้ดินกลับครับ ไอ้ตอนนั่งก็ไม่มีอะไรเหมือนรถไฟใต้ดินดีๆทั่วไป แต่ผมดันจำสถานีที่ลงผิดครับ เดินหลงอยู่ชั่วโมงกว่าๆ

อันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่อยากแชร์แล้วกัน Barcelona เป็นเมืองที่มีผังเมืองดีมากกกกก ดังนั้นแต่ละบล็อกของตึกมันเลยเหมือนกันหมด!! คนจำทางไม่เก่งอย่างผมก็เลยหลงเอาง่ายๆเลยครับ ดังนั้นจำชื่อสถานีและทิศให้ดีๆนะ ถ้าไม่อยากออกกำลังกายเหมือนผม ^^

Day 4 Barcelona city tour

วันนี้เป็นวันที่เราจะสำรวจเมืองบาเซอย่างจริงจัง เริ่มต้นวันด้วยการไปที่ Parc Guell เป็นสวนบนเขาที่มีความอาร์ตของท่านสถาปนิคเอก

“อันตอนี เกาดี อี กูร์เนต” แฝงไว้เต็มไปหมดรวมทั้งท่านได้อาศัยอยู่บนนี้ด้วยครับ ผมมีคำแนะนำให้มาแต่เช้าๆแสงน่าจะสวยและตรงจุดนี้อยู่บนเขา สามารถมองไกลไปถึงชายหาดได้เลย

 

ท่านเกาดี้มักสร้างอะไรโดยมีแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติอย่างภาพนี้จะเป็นลักษณ์คล้ายคลื่นทะเลครับ ขอสารภาพตรงๆว่าผมไม่ค่อยเสพอาร์ต เลยเข้าไม่ถึงเท่าไหรกับศิลปะของท่าน

แถมด้วยท่ามาตรฐาน ไม่เอาพี่อย่าแอบถ่ายพ้มม

.ต่อกันยังถนนยอดฮิต ที่นักท่องเที่ยวต้องมาถนน La Ramblaถนนนี้เป็นถนนหลักสำหรับนักท่องเที่ยวเลย จะใกล้ย่านเมืองเก่าและสถานที่สำคัญหลายที่ครับ วิธีการเที่ยวโซนนี้ก็ไม่ต้องใช้อะไรมาก เดินหลงๆไปเรื่อยๆ แวะชิมร้านขนม ร้านโน้นร้านนี้ไป เพลินนนนนน

Metro : Liceu<< สถานีนี้ฟินที่โผล่มาตรงกลางถนนเลย

เดินหลงไปเรื่อยๆเพลินๆ

เดินเล่นอยู่แถวย่าน La Ramblaได้สักชั่วโมงก็ไปต่อกันที่ ตึกที่เป็น Landmark ของเมืองบาเซ เพราะท่านเกาดี้ได้ออกแบบไว้ครับ สมัยก่อนอารมณ์เศรษฐีใครมีเงินก็สร้างบ้านแข่งกันและต้องจ้างคนเก่งสุดมาออกแบบอะครับ ตึกก็เลยสวยแบบอาร์ตๆ แถมติดกันสองตึกเลย

ด้านซ้าย Casa Batllo ด้านขวา Casa Mila

 

ผมได้มีโอกาสขึ้นตึกทางขวามือ (Casa Mila) ตัวตึกปัจจุบันเป็นคล้ายๆมิวเซียมเกี่ยวกับท่านเกาดี้ ไปเรียบร้อยแล้วไฮไลต์ของตึกนี้อยู่ที่บนดาดฟ้าครับ เกาดี้สร้างไว้เหมือนกับสนามเด็กเล่น มีศิลปะที่แปลกตาอยู่ด้านบนให้เราเดินชมกันได้

ชมเมืองบาเซแล้ว เที่ยงได้กินมื้อกลางวันเป็น ร้าน Michelin ที่ BistrEau Restaurant โรงแรม Mandarin Oriental Hotel ครับอร่อยเลียจานอีกครั้ง

อิ่มท้องแล้วช่วงบ่ายเราไปชม La Sagrada Familia โบถส์เอกที่ใครมา Barcelona ต้องห้ามพลาดเพราะท่านเกาดี้ออกแบบและกำกับการสร้างด้วยตัวท่านเองจนท่านเสียไปแล้วก็ยังไม่เสร็จ ขณะนี้สร้างมาแล้วกว่า 133 ปี !!

ดังนั้นถ้าคุณเจอสภาพภายนอกใกล้ๆเต็มไปด้วยเครน อย่าเพิ่งตัดสินเพราะด้านในอลังการมากกกกกก สวยมาก ยั่งกะโลกอนาคตเลยครับ บอกตรงๆว่าห้ามพลาด แนะนำให้จองตั๋วออนไลน์เพราะต่อคิวยาวมากครับ http://www.sagradafamilia.org/en/tickets/

มาชมบรรยากาศด้านในกันครับ

ด้านข้างของโบถส์จะเป็นกระจกสีครับ พอแสงส่องเข้ามาแล้ว โอ้วววว

 

.ช่วงเย็นต่อด้วย Tapas tour ครับมันคือทัวร์เมือง รวมทั้งกินทาปาสเป็นมื้อค่ำไปด้วยในตัวนั่นหล่ะ เดินซ้ำย่าน La Rambla วนไปตามเรื่องตามราว เพลินๆผมว่ามาเดินตอนเย็นอากาศดีๆเพลินกว่าเมื่อเช้าอีกครับ

 

Day5 – Barcelona ( Camp nu & shopping La Roca Village )

เช้าวันนี้เค้านัด 9 โมง ส่วนตัวผมออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกับเมือง ตั้งแต่ตี 5 อย่างที่ผมชอบทำเสมอและมองว่ามันเป็น “รางวัลชีวิต”ผมเดินไปที่ Montjuic ที่เดิมหน่ะครับขอไม่เอ่ยซ้ำ

จุดชมวิวสุดฟินให้ขึ้นไปถึงบนสุด หันหน้าเข้า Nation museum แล้วเดินไปทางซ้ายพระอาทิตย์จะค่อยๆขึ้นแสงแรกของวันฉาบเมือง เป็นอะไรที่ฟินนนนนนนนนน มากกกกกกกกกก

มีชายไทยคนหนึ่งกำลังเสพ “รางวัลชีวิต” ของเค้าอยู่

มุมที่ผมตามหา จากจุดนี้มองเห็นไกลถึงโบถส์ดัง La Sagrada Familia ได้ด้วยตา ( แต่ถ้าจะถ่ายชัดๆผมต้องใช้เลนส์ซูมเข้ามาครับ )

ชมแสงแรกของวันฉาบเมืองจนถึงประมาณ 7 โมงครึ่งได้เวลาเดินกลับไปเจอกับกลุ่มตามเวลานัดแล้วครับ

Camp Nou, home of FC Barcelona

ฟินต่อเนื่อง จากแสงเช้า เพราะวันนี้ผมจะได้เข้าคั้มนู !! สนามบอลของสโมรสรที่ดีสุดในโลก ณ ขณะนี้ครับ ( ผมเด็กผี แต่ต้องยอมนะทีมเค้าเก่งจริง ไอ้ทีมมะนาว…ต่างดุ๊ด)

มาถึงก็ซื้อบัตรก่อนเลย ค่าเข้า 23 EU ต่อคนครับ

 

เข้ามาหน่อยก็เจอ ถ้วยรางวัล Triple champ ที่ทีมบาซ่าได้ในปี 2014 อวดสายตาชาวโลก

เดินผ่านห้องแถลงข่าว เวลาเค้าเปิดตัวนักเตะใหม่ หรือ มีแถลงข่าวอะไรเกี่ยวกับสโมสรเค้าก็จะใช้ห้องนี้หล่ะ

.ต่อด้วยเดินผ่านห้องแต่งตัว และ และทางเดินเข้าสู่สนามของนักบอลผมและพี่คนไทยอีกคน แววตาเป็นประกายมากกก มากจนแก๊งสาวๆมาเลย์แซว ว่าไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ชั้นรู้พวกเทอชอบ

เอาหล่ะครับเข้าสนามล้าวตอนแรกคิดว่าวันนี้นักบอลบาซ่าซ้อมครับ ใจเต้นระริกเลย แต่ป่าวววว ทีมอะไรไม่รู้เค้ามาเตะเหมือนการกุศลกัน แป่ววว

โชว์ลีลาเตะบอลหน่อยนะครัช…. โปรดอย่าถามว่าเท๊คไปกี่รอบ 555

จากนั้นขึ้นลิฟท์ไปชมชั้นบน สเตเดี่ยมต่อครับตรงจุดนี้จะเป็นจุดที่พวกนักพากบอลเค้าชมเกมส์จากมุมสูง วิวดีมาก ฟินๆไป

ชมด้านบนเสร็จก็จะเป็นการวงลงไปชั้นล่างเรื่อยๆครับ ซึ่งก็จะเป็นประวัติสโมรสร พวกถ้วยรางวัลมหาศาลแสดงความสำเร็จของสโมสรแห่งนี้ผมเห็นแววตาแฟนบอลแต่ละคนแล้วรู้สึกดีมากๆเลย การได้มาชมสโมรสรที่เรารักมันเป็นอย่างงี้เอง โดยเฉพาะเด็กตัวเล็กๆใส่เสื้อบาซ่ามากับพ่อ คือดีอะ

เมื่อเดินจนสุดก่อนออกก็จะเป็น Shop ขายของที่ระทึก ให้เสียเงินกันครับ มีคนฝากผมซื้อผ้าพันคอ ราคาอยู่ที่ 19.9 EU ครับ ^^

อันนี้เสื้อฤดูกาลใหม่ที่จะถึงนี้มั้งครับ สวยเชียว

.    จบครึ่งวันเช้าเราไปทานข้าวกลางวันกันที่ห้องอาหาร Salt Restaurant โรงแรม W Barcelona Hotel โรงแรม W อยู่ติดกับชายหาดที่เราไปมาวันแรกที่มาถึงบาเซ เลยหล่ะครับ โรงแรมนี้คือวิวดีงามมาก ถ้าได้มาค้างที่นี่สักคืน เดินหาด เล่นน้ำทะเล คงฟินนน

.    กินเสร็จต่อด้วยนั่งรถไปช็อปปิ้งกันที่ Outlet“La Roca Village”ที่นี่เป็นสวรรค์นักช็อปเลยครับเพราะของถูกมากกกกกกกกกกกก ลด 50-80% กันไปเลย แล้วยิ่งไปกว่านั้นมี Tax refund ของสเปนอีก 15.7%ขนาดผมไปแบบจนมาก กรอบมาก กะไม่ช็อปยังได้รองเท้ามาคู่หนึ่ง Oni tiger เหลือ 1,200 บาท ช็อคคคครับ ตอนไปญี่ปุ่น ไต้หวันยังไม่ถูกขนาดนี้เลยส่วนแบรนด์อื่นๆสาวๆเค้าก็ช็อปกันมาตรึม ถูกกว่าที่อื่นเยอะเลยครับ

 

หมายเหตุ : ถ้าไม่ได้เช่ารถขับ เค้ามีรถรับ-ส่งจากตัวเมืองบาเซ ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีจะถึง outlet นี้ครับ ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.larocavillage.com/en/

Day6 : Barcelona – BKK

วันสุดท้ายก่อนตกสวรรค์ ผมเลือกที่จะเติมรางวัลให้ชีวิตอีกครั้งด้วยการขึ้นชมวิวที่จุดชมวิว “Tibidabo” ผมขอคำแนะนำจากพนักงานโรงแรม เค้าว่าจุดนี้หล่ะ มองเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้สวยที่สุดแล้ว

รออะไรหล่ะครับ จะไปคนเดียวก็เปลือง เลยชักชวนพี่ๆในทริปไป(หารค่าแท็กซี่)กัน หลอกล่อด้วยเอาภาพในอินเทอร์เน็ตมาให้ดู พรุ่งนี้เจอกันตี 4 ครึ่งนะคร้าบเราจะไปฟินด้วยกัน

Tibidabo เป็นสวนสนุกที่อยู่บนเขา ทำให้ที่บนนี้เราสามารถมองเห็นวิวเมืองทั้งเมืองได้แบบสุดฟิน สำหรับใครอยากมาด้วยรถสาธารณะก็มาได้เช่นกัน ต่อประมาณ 3 ต่อครับ แต่รถรอบเช้าสุดก็ไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นครับดังนั้นถ้าอยากมาเช้าต้องแท็กซี่เท่านั้น นั่งจากเมืองมาประมาณ 30 EU ( เรานั่งมา 5 คนเหลือคนละแค่ 6EU )

 

ตอนขากลับเราใช้บริการรถสาธารณะ นั่งรถบัส -> ต่อ Tram -> ต่อรถไฟ และเดินกลับโรงแรม เสียไปคนละประมาณ 10 EU

เพิ่มเติม : จุดถ่ายรูปที่สวยสุด จากปากทางเข้าสวนสนุกให้เดินย้อนกลับไปยังถนนที่ขึ้นเขามาสัก 300 เมตรจะเป็นเวิ้งส่องไปเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ ( พวกเราเพิ่งรู้ตอนรถขากลับแล้ว T-T ) ดูเพิ่มได้ที่ http://www.tibidabo.cat/en/

ผมมักเรียกแสงเช้าอาบเมืองว่า ‘รางวัลชีวิต’

เมือง Barcelona เป็นเมืองที่มีผังเมืองติดอันดับดีสุดในโลก ตึกเป็นบล็อคๆอยู่บนนี้เห็นได้ชัดเลยครับ

หมดครึ่งวันเช้าในสเปน ได้เวลาถูกถีบตกสวรรค์ไล่กลับประเทศ เราบินกลับกันด้วยสายการบิน Qatar airways ชั้น Business class กลับสู่กรุงเทพมหานคร ด้วยที่นั่งสุดสบาย และการบริการชั้นเลิศ สมรางวัลสายการบินดีที่สุดในโลกในปีที่ผ่านมา

ก่อนจบรีวิวผมต้องขอขอบพระคุณสปอนเซอร์ใจดี Qatar Airways เจ้าหน้าที่ไทย และ สิงคโปร์, การท่องเที่ยวสเปน ( Spain tourism board ) สำนักงานสิงคโปร์ และ ทีมงาน agency บริษัท พับบลิกฮิต จำกัด ที่ช่วยประสานงานและดูแลเป็นอย่างดี ที่ทำให้ได้ชิลมีโอกาสไปนั่ง Business class ไปเที่ยวสเปนอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนในชีวิตครับ

Exit mobile version