โรคกลากเกลื้อนที่หลัง เป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่คนไม่อยากจะเป็นมากที่สุด เพราะรักษาให้หายยาก และหลายคนรู้สึกอาย แต่แท้ที่จริงแล้ว เราสามารถป้องกันและรักษาได้ง่าย ๆ เพียงแต่เราต้องใส่ใจ และจริงจัง เพราะไม่เช่นนั้นก็อาจจะกลับมาเป็นใหม่นั่นเอง

โรคกลากเกลื้อนเกิดจากอะไร

เวลาที่มีใครสักคนเป็นกลากเกลื้อน หลายคนอาจจะคิดว่าเกิดขึ้นเพราะสกปรก ที่จริงแล้วเราทุกคนสามารถเป็นกลากเกลื้อนได้ หากขาดความใส่ใจ เพราะโรคกลากเกลื้อนเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา และพบได้บ่อยในบริเวณที่มีเหงื่อไคลมาก ดังนั้น หากว่าใครเล่นกีฬาแล้วปล่อยให้ตัวชื้นเหงื่อนาน ๆ ก็อาจจะทำให้เราเป็นโรคกลากเกลื้อนได้ ด้วยเหตุนี้ คนที่เล่นกีฬาบ่อย ๆ หรือว่าเล่นกีฬาเสร็จแล้วไม่เปลี่ยนเสื้อ ปล่อยให้ตัวเองชื้นเหงื่อ ก็เสี่ยงต่อการเกิดกลากเกลื้อนที่หลังเช่นเดียวกัน

วิธีรักษาโรคกลากเกลื้อน

            สำหรับการรักษาโรคกลากเกลื้อนที่หลัง เราใช้ยาทาฆ่าเชื้อราซึ่งมีส่วนผสมของตัวยาอย่างโคลไทรมาโซล (Clotrimazole) ไมโคนาโซล (Miconazole) เทอร์บินาฟิน (Terbinafine) อิโคนาโซล (Econazole) บิโฟนาโซล (Bifonazole) โดยควรทาบริเวณที่เป็นผื่นหลังอาบน้ำวันละ 2-3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวัน เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะหาย

ในกรณีที่ผื่นขยายวงกว้าง หรืออาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์ เพราะอาจจะต้องรับประทานยาร่วมด้วย ไม่ควรจะซื้อยารับประทานเอง

วิธีการดูแลตนเองเมื่อเป็นกลากเกลื้อนที่หลัง

นอกจากการทายาและรับประทานยาแล้ว ผู้ที่เป็นกลากเกลื้อนที่หลังควรดูแลตัวเองด้วยการรักษาความสะอาด และไม่ปล่อยให้ตัวเองเปียกชื้น โดยอาบน้ำให้สะอาด โดยหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น และเช็ดตัวให้แห้ง สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และสวมใส่เสื้อผ้าที่ซักสะอาดอยู่เสมอ รวมถึงการซักและทำความสะอาดผ้าปูเตียงอย่างสม่ำเสมออีกด้วย

นอกจากนี้ เราสามารถป้องกันตัวเองจากการเป็นกลากเกลื้อนที่หลังหรือบริเวณอื่น ๆ ด้วยการไม่สวมใส่เสื้อผ้าหรือใช้ของใช้ส่วนตัวอย่างผ้าขนหนูร่วมกับคนอื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคกลากเกลื้อน เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อได้

อย่างไรก็ตาม หากว่าเรามีผื่นผิดปกติขึ้นที่ผิวหนัง ให้เรารีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อทำการรักษาโดยด่วน ก่อนที่จะลุกลาม การปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนการใช้ยาจะช่วยให้เราใช้ยาได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ป้องกันการดื้อยา และสามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เรื้อรังนั่นเอง

โรคกลากเกลื้อนที่หลัง เป็นแล้วต้องใช้เวลาในการรักษา ผู้ป่วยจะต้องอดทน และพยายามทายาและดูแลรักษาตัวเองอย่างต่อเนื่อง และเมื่อหายแล้ว ควรรักษาความสะอาด และป้องกันตนเองจากการเป็นซ้ำ จะช่วยให้สามารถหายขาดได้

ติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::

Instragram :@ChillJourneyTH
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney

Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!