Chill Journey | Thai Travel & Lifestyle blog

รีวิวประเทศ ออสเตรีย ( Austria ) จากเมือง Salzburg จนถึง Hallstatt เมืองริมทะเลสาบที่สวยสุดในโลก! | Update 2020

ออสเตรีย (Austria) ประเทศวิวหลักล้าน เมืองข้างบ้านสวิสเซอร์แลนด์ วิวคล้ายกันแต่จ่ายถูกกว่า เราเชื่อว่าเกือบทุกคนมีความฝันว่าครั้งหนึ่งจะต้องได้ไปสัมผัสเมืองทะเลสาบที่ได้รับการยอมรับว่า “สวยที่สุดในโลก” ชื่อว่า Hallstatt กะเค้าสักที ตามเรามารีวิวนี้จะพาไปครบทั้ง 3 เมืองที่สวยสุดๆทั้ง Salzburg เมืองบ้านเกิดของโมสาร์ท และ St.wolfgang เมืองริมทะเลสาบสวยก้องโลกด้วยไปทั้งทีเก็บให้ครบ ข้อมูลพร้อมเราหามาให้แล้ว!

 

ดูสรุปข้อควรรู้ก่อนไปประเทศออสเตรียกันก่อน…อ่านแล้วจบเลยไม่ต้องหาข้อมูลอีก 


วีซ่า :

ประเทศออสเตรีย (Austria) เป็นประเทศยุโรปที่อยู่ในเขตเชงเก้น คนไทยต้องใช้วีซ่าเชงเก้นในการเข้าประเทศออสเตรีย แต่ถ้าใครมีวีซ่าเชงเก้นอยู่แล้วไม่ว่าจะขอจากประเทศใดก็ตามที่ยังไม่หมดอายุก็สามารถเข้าได้เช่นกันนะ เรื่องวีซ่าเชงเก้นใครยังไม่เข้าใจชิวเขียน Blog และเคล็บลับไว้อย่างละเอียดแล้วดูได้ที่ Blog นี้นะ >> ขอวีซ่าเชงเก้นเที่ยวยุโรป ทั้งประจำและฟรีแลนซ์ เตรียมเอกสารยังไงให้ผ่านแบบชิวๆ <<


แผนเที่ยวแนะนำ :

ประเทศออสเตรีย ปกติเค้าจะเที่ยวกันประมาณ 4-7 วันแล้วแต่ว่ามีเวลามากน้อยแค่ไหน เมืองหลักที่ฮิตกันก็จะมี Innsbruck / Salzburg / St.wolfgang / Hallstatt และ Vienna นะโดยถ้าดูแผนที่จะเห็นว่าติดกับประเทศอื่นเยอะมากกกกกกกกกกก เวลาคนเที่ยวออสเตรียเค้าก็มักจะเที่ยวควบกับประเทศอื่นๆไปด้วยซึ่งเราแนะนำให้ไม่ได้จริงๆ แล้วแต่สะดวกแล้วแต่ชอบเลยว่าจะพ่วงกับประเทศไหน เมืองไหนบ้างอะไรงี้นะ ได้หมด

ส่วนอันนี้แผนของชิวนะเผื่อจะลอก : Prague -> Český Krumlov -> Salzburg -> Hallstatt -> St.wolfgang -> Vienna -> Bratislava -> Budapest -> Ljubljana -> Lake bled -> Zagreb ( Croatia )


การเดินทางจากไทย :

ตอนนี้เท่าที่เรามีไฟล์ทบินตรงจากการบินไทย บินตรงกรุงเทพ-เวียนนา แค่สายการบินเดียวที่บินตรง แต่ถ้าเอาสายการบินที่แวะต่อเครื่องเพียบบบบบบ มีมากมายก่ายกองเลย ลองหาดูเวลาและเมืองที่ถูกใจดู ไปลงประเทศข้างเคียงแล้วค่อยเข้ามาก็ได้ง่ายเหมือนกัน


การเดินทางภายใน :

คมนาคมระหว่างเมืองใหญ่ในออสเตรียคือดีมากๆๆๆ สามารถไปได้ทั้งรถบัสและรถไฟเชื่อมต่อกันหมด แต่ปัญหามันจะมีตรงแถบๆเมืองทะเลสาบสวยๆที่ไปนั่นคือ Hallstatt จริงๆมีรถบัสไปนะแต่มันจะค่อนข้างมีรอบรถน้อยมากเลยทำให้ไม่ค่อยสะดวก ถ้าไปสัก 3 คนขึ้นไปเราเลยแนะนำให้เช่ารถขับดีกว่า แต่ถ้าไปคนเดียวไรงี้ก็ไปรถบัสเถอะประหยัดกว่า


เรื่องเน็ต : 

เรื่องใหญ่ยุคนี้ขาดเน็ตใช้เหมือนขาดใจ ทริปนี้ชิวเที่ยวยาวมากอย่างที่รู้กัน แน่นอนว่าเราก็ยังแนะนำ Ais sim2fly เหมือนเดิมคือดีงามสุดในโลกล้าตอนนี้แล้ว  ที่แนะนำกว่าอะไรอื่นใด วิเคราะห์ให้ฟัง 5 ข้อว่าคุ้มสุดจริงจังแค่ไหน

  1. ถูกโคตร: สำหรับยุโรป/เมกา ใช้เน็ตได้ 15 วันในแพคเกจ 6 GB ราคา 899 บาท ( ถ้ามีซิมอยู่แล้วแค่ 799 ) หารออกมาวันละ 60 บาทเอง ถูกมากกกกกกกกกก
  2. ย้ายประเทศได้ไม่เสียเงินเพิ่ม: คืองี้ที่ไม่แนะนำซิมยุโรปนอกจากจะแพงกว่าแล้ว เวลาเราเที่ยวยุโรปอะเรามักจะเที่ยวควบทีละ 2-5 ประเทศใช่ป่ะ ซื้อซิมทุกประเทศคือจนตาย  แต่ถ้าใช้ Sim2fly คือจะย้ายประเทศกี่รอบก็ได้ขอให้อยู่ในประเทศที่รองรับก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่มเลย (ประเทศฮิตรองรับหมด) เช่น ของชิวใช้โคตรคุ้ม 15 วันลากยาวตั้งแต่ เช็ก/ออสเตรีย/สโลวาเนีย/ฮังการี่/โครเอเชีย ใช้คุ้มยาว 15 วันไปคุ้มที่สุดดดด
  3. สัญญาณดี: สัญญาณดีตลอดทุกประเทศ นี่ใช้มาแทบทั่วยุโรป และ เอเชีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ไรแล้วไม่เคยมีปัญหาเลยจริงๆ
  4. แพ็กเน็ตเริ่มนับเมื่อวันที่เปิดใช้ : สามารถลงทะเบียนเปิดซิม ตั้งค่ามือถือให้เรียบร้อยได้ตั้งแต่ที่ไทยเลย ไม่ต้องกังวลว่าแพ็กที่ใส่ไปจะเริ่มนับวันทันทีแล้วเสียเปล่า เพราะระบบจะเริ่มนับเริ่มต้นแพ็คเกจเมื่อเราต่อเน็ตโดยอัตโนมัติเลยนะ
  5. เติมแพคเกจได้: ถ้าคิดว่าใช้ 4GB ไม่พอหรือใช้เกิน 15 วันแน่ๆ (แบบเรา) ก็เติมเงินเพิ่มสมัครแพคเสริมไว้ได้เลย (ถ้าไม่ได้ใช้ส่วนเสริมจะคืนเงินเข้าซิมให้ด้วย) และกรณีที่ใครมีซิมเดิมอยู่แล้วเก็บไว้นะใช้คราวต่อไปเต็มแค่แพกเสริมประหยัดกว่าซื้อซิมใหม่

 หมายเหตุ :: นอกจากยุโรป/เมกาแล้วก็ยังมีซิมแบบ 399 ที่ใช้ได้ในออสเตรเลียและประเทศในเอเชียด้วย

และนี่คือตัวอย่างทริปเรา ชิวมีซิมอยู่แล้วก็เติมเงินแค่ 799 บาทใช้ sim2fly ไปได้ทั่วยุโรปเลย


สกุลเงิน :

ประเทศออสเตรียใช้เงิน ยูโร โดย 1 ยูโรประมาณ 40 บาทไทยครับ แนะนำว่าไม่ต้องแลกไปเยอะมากก็ได้เพราะสามารถใช้บัตรเครดิตได้เกือบทั้งประเทศเลย เผื่อแลกตังไปไม่พอช็อปงี้ก็ไม่ต้องกังวล


ภาษา :

ภาษาหลักที่เค้าใช้ชื่อภาษาเยอรมัน แต่คนประเทศนี้พูดภาษาอังกฤษได้ดีมากๆ พูดอังกฤษได้ก็ไปได้ครับไม่ต้องกังวล ป้ายบอกทางอะไรมีภาษาอังกฤษกำกับเกือบหมดเลย เราไม่รู้สึกติดขัดอะไรเลยนะตอนไป


ข้อควรระวัง : 

อย่าขับรถเร็วเกินกำหนด เราโดนปรับมาแล้ว!!!


เอ้ารวมทุกสิ่งที่ควรรู้ไปแล้วเรามาเริ่มลุยเล่ากันแล้วนะ

 

Day1 : Salzburg

ตามที่เราเขียนไปว่าสามารถเริ่มเที่ยวได้หลายเมือง ส่วนชิวเริ่มเข้าเที่ยวประเทศออสเตรียที่เมือง Salzburg ด้วยการนั่งรถมาจากเมือง Cesky krumlov ประเทศเช็กที่อยู่ห่างไปแค่ 3 ชั่วโมงครึ่ง รถบัสของ CK shuttle มาจอดส่งที่สถานีรถไฟกลางเมือง Salzburg ตอนประมาณ 10:00 ชิวนับถึงเวลาที่นัดรับรถเช่าไว้ 17:00 ก็มีเวลาเที่ยวประมาณ 7 ชั่วโมงพอดี เหมือนจะรีบแต่บอกเลยว่า “เหลือ เหลือ” ตามเรามาเที่ยวเมืองบ้านเกิดของ “โมสาร์ท”ศิลปินเอกระดับโลกกันใน 7 ชั่วโมง

ก่อนอื่นเราต้องบอกก่อนว่าเมืองนี้สามารถเที่ยวได้ถึง 2-3 วันเลยนะถ้าเพื่อนๆมีเวลาเยอะขนาดนั้นเราแนะนำให้ซื้อ Salzburg card ซึ่งมันจะรวมอะไรหลายสิ่งอันตั้งแต่รถสาธารณะทุกประเภท ค่าเข้ามิวเซียม และส่วนลดอีกมากมาย แต่ถ้าเวลาน้อยเที่ยวหลายประเทศตั้งใจจะเก็บแค่ที่เที่ยวหลักแบบชิวก็แนะนำให้ตามแผนเราได้เลยด้วยวิธีการ “เดิน”

 

หลังจากฝากกระเป๋าที่สถานีแล้ว เริ่มต้นเดินจากสถานี จุดที่ใกล้สุดคือ “Schloss Mirabell” สวนของพระราชวังมิราเบลที่สวยที่สุดและดังสุดในเมือง Salzburg จิ้มแผนที่ในมือถือแล้วเดินตามไปเลยครับ เดินผ่านร้านรวงและบรรยากาศแบบยุโร้ปยุโรปไปเรื่อยก็ถึงทางเข้าสวนแล้ว ข่าวดีสำหรับนักเดินทางสายประหยัด “สวนนี้เข้าฟรีจ้า” สบายแฮ ในสวนไม่ใหญ่อะไรมาก ขนาดกลางๆ ในสวนนี้จะมีดอกไม้ผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาลมาตอนไหนก็สวย และในสวนก็จะมีรูปปั้นสวยๆงามๆอีกเพียบบบบ ใส่ชุดมาเต็มๆหน่อยรับรองได้ภาพสวยๆกลับไปเพียบแน่นอนนนน

เป้าหมายถัดไปคือเขตเมืองเก่า สามารถเดินทะลุออกอีกด้านของสวน Mirabell ก็จะถึงแถวเขตเมืองเก่าพอดิบพอดีเลย จุดถัดไป Landmark ที่จะเจอคือสะพานสแตนเลสข้ามแม่น้ำ Salzach ที่แทบไม่เหลือความเป็นสีเงินให้เห็นเพราะดันเต็มไปด้วยกุญแจคล้องความรักของคู่รักนับหมื่นทั่วโลกจนตอนนี้ชื่อใน google map กลายเป็นชื่อ “Love Locks Bridge Salzburg” ไปสะแล้ว ก็ไม่รู้ว่าวัฒนธรรมคล้องกุญแจเริ่มที่ไหน ใช่ที่โซลหรือเปล่า แต่ตอนนี้มันลามไปทั่วโลกแล้วววววววว

จากสะพาน lock of love จะมองไปเห็นสะพานขนานกันนั่นคือสะพานโมสาร์ทนะฮะ

โอเคข้ามสะพานมาก็จะถึงเขตเมืองเก่าแล้วนะ ณ จุดนี้ก็จะบ้านเมืองสวยงามย้อนยุคกันนิดหนึ่งเดินทะลุไปเรื่อยเข้าถนน Getredegasse ที่เป็นถนนช็อปปิ้งหลักของเมืองนี้ สำหรับขาช็อปใจเต้นสั่นเป็นรัวกลองแน่นอน เพราะร้านดังแบรนด์ยุโรปทั้งหลายมากองให้เลือกสรรกันตรงนี้เพียบ ตั้งแต่แบรนด์ทั่วไป H&M , ZARA  แบรนด์กลาง จนถึงแบรนด์หรูแบบ louis vuitton จนถึง Hermes ก็มีที่นี่ !

จริงๆชิวไม่ใช่ขาช็อปเท่าไหร แต่ก็ชอบเดินถนนช็อปปิ้งนะเพราะมันจะคึกคักที่สุดของเมือง เดินเที่ยวแบบเพลินมากกกกก ในถนนนี้เช่นกันก็จะมี มิวเซียมของโมสาร์ทด้วย และยังมีคาเฟ่ของโมสาร์ทอีกด้วย คือเมืองนี้อะไรๆก็โมสาร์ทหมดอะแหละ ใครสนใจจะเข้าร้านไหนก็จัดสรรค์กันเองได้เลยนะครับผม

เดินจนเกือบสุดถนน Getredegasse ร้านค้าเริ่มบางตาเราก็เลยขยับเข้าไปในเมืองเก่าโซนขวามากขึ้น เดินเลี้ยวขวาเข้าไปซักซอยหนึ่งเดียวจะถึงเอง เรามาเจอรูปปั้นท่านโมสาร์ทแบบไม่ตั้งใจตั้งอยู่ก็เลยแวะทักทาย ถ่ายรูปท่านสักหน่อย (พิกัด google ชื่อ :  Mozartplatz )

เดินขวาไปต่ออีกนิดหนึ่งจะเป็นโซนวังๆโบถส์ๆปราสาทๆแล้วววว สวยงามตามท้องเรื่องมาก ถ่ายรูปเพลินสุดดดด แต่ชิวไม่ได้เข้าไปดูด้านในนะเวลาเราน้อย ได้แต่เก็บภาพแต่ด้านนอกนะครับ ถ้าใครมีเวลาหรือใช้ Salzburg card ก็แนะนำให้เข้าโลด

แถวนั้นมีร้านไอติมอร่อยๆหลายร้านด้วยนะ นี่ซื้อแถว square มาร้านชื่อ HOFINGER ที่ซื้อเพราะร้านเขียนว่ามีตั้งแต่ 1933 โหยยยยเก่าแก่มากเลยจัดหน่อย รสชาติโอเคเลยนะ พวกผลไม้ๆเปรี้ยวๆนี่กินแล้วสดชื่นมาก

โอเคที่เราบอกเวลาน้อยเพราะมีเป้าหมายหลักของเมืองนี้ที่ป้อม Hohensalzburg เป็นสถานที่สำคัญสัญลักษณ์เมืองและยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงที่สวยที่สุดของเมืองเลย วิธีการขึ้นง่ายๆคือเค้ามีกระเช้าพาขึ้นมา แต่ด้วยความอยากโชว์ความแกร่งของกำลังน่องที่ฝึกฝนมาอย่างดี ถุ้ย!! จริงๆคือความงกฮะ ไม่รู้ไปอ่านรีวิวไหนใครเขียนก็ไม่รู้ว่า “เดินขึ้นได้” ก็คิดว่ามิวเซียมไม่สนใจอยู่แล้วเลยตัดสินใจเดินขึ้น

ทางเดินขึ้นก็ไม่ลำบากครับแต่เหนื่อยเอาเรื่องเลย เดินถึงปุ๊ปก็เจอ… ด่านนนนนน เก็บเงิน อั้ยย่ะคือสรุปว่าอย่าเดินเลยฮะ เดินขึ้นยังไงก็เสียเงินค่าเข้าอยู่แล้ว ราคาต่างกันแค่ 2 ยูโรเองนั่งกระเช้าขึ้นไปเถอะ !!   เออเรื่องมิวเซียมด้านบนชิวว่าไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจนักเหมือนที่คนอื่นเขียนรีวิวไว้  แต่ทีเด็ดเลยคือ “วิวหลักล้าน” วิวหลักล้านเลยฮะ บนนี้สามารถมองเห็นวิวทั้งเมืองได้แบบ 360 องศา สุดยอดมากแบบห้ามพลาดทีเดียว!!

เราใช้เวลาอยู่บนป้อมนานเลยล่ะสัก 2 ชั่วโมงน่าจะได้ ถ่ายรูป นั่งเล่น ดูมิวเซียมไปให้คุ้มค่าตั๋วกันยาวๆ แล้วก็นั่งกระเช้าลงเดินกลับย้อนกลับทางเดิมไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ในตู้ล็อกเกอร์สถานีรถไฟ เดินลากกระเป๋าไป 500 เมตรรับรถจากรถเช่ายี่ห้อ Europcar ที่จองผ่านเว็บล่วงหน้ามา ( รีวิวรถเช่ายี่ห้อนี้หน่อยเผื่อเป็นข้อมูล ชิวว่าก็โอเคนะครับทำงานไวดี รถที่ได้ก็ใหม่ดี ตอนคืนก็ง่ายไม่มีปัญหาตุกติกอะไร  แต่แนะนำให้ซื้อประกันจัดเต็มไปด้วยนะเราว่ากันไว้ดีกว่าแก้ )

 

โอเคหลังจากได้รับรถแล้วก็ขับรถตาม GPS ไปเลยครับวันนี้มุ่งหน้าสู่ปลายทางหมู่บ้านริมทะเลสาบที่สวยสุดในโลก(เค้าเคลมกันว่างั้น) ระหว่างทางวิวสวยงามมากครับ วิวที่ออสเตรียนี่คือๆกับสวิสเซอร์แลนด์เลย ภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับกับทะเลสาบ สวยงาม ขับไปฟินไปเลยฮะ แต่ต้องระวังเรื่องความเร็วเกินนะที่นี่คือเค้าจริงจังมากกกก มันจะมีป้ายบอกตลอดว่าขับได้เท่าไหรครับ  ชิวเปิดเน็ตหาข้อมูลก่อนเลยตามเว็บ https://www.austria.info/us/basic-facts/getting-there-around/austria-by-car/speed-limits-in-austria บอกไว้ว่า ในเมือง 50 KM/H  ตามถนนหลัก 100 KM/H และบนทางด่วน 130 KM/H ก็จำแบบขึ้นใจและระวังตลอดเลยครับ

ขับไปได้สักประมาณ 40 นาทีก็เจอตำรวจเรียก!! โดยข้อหาขับความเร็วเกินฮะ!! โดนจับด้วยความเร็ว 43 KM/H เห้ยยยยก็ว่าระวังสุดแล้วนะไม่ให้เกิน 50 ตามข้อมูลในเว็บ  แต่!!มันมีอีกกฎหนึ่งคือเวลาเข้าเขตชุมชนต้องขับไม่เกิน 30 KM/H ฮะ(มีป้ายติดตามถนนต้องอ่านนะยู) โอ้ยยยยยยยยยยยยย โดนค่าปรับไป 20 ยูโรจ้า ( 800 บาท ) T-T

โอเคนอกนั้นเราไม่มีอะไรเตือนพิเศษแล้วคือขับง่าย ถนนดี ป้ายครบ GPS นำทางดีงาม แต่ที่ต้องโฟกัสตลอดคือความเร็วนี่แหละฮะว่าอย่าเกินต้องช่วยกันเตือน 555

ขับกันยาวๆมาถึง Hallstatt ตอนค่ำพอดีตั้งใจมาดูเมืองตอนเปิดไฟก็สมใจอยากไป ( ตรงทางเข้าหมู่บ้านจอดรถได้ฟรีไม่เกิน 30 นาที ) ก็เที่ยวจนเกือบครบ 30 นาทีนั่นแหละครับแล้วขับรถกลับไปนอนเมืองใกล้เคียงคือ Bad Goisern  ถามว่าทำไมชิวไม่นอนที่ Hallstatt เลยคำตอบคือ “มันโคตรแพง” ที่พักที่ Hallstatt คือจะแพงมากและมีน้อยมากครับ ถ้าไม่ได้งบหนาจริงๆชิวแนะนำให้นอนเมืองใกล้เคียงแถบนั้นนะมีหลายที่เลยครับ เมืองที่ชิวพักก็ไม่ไกลนะขับรถมาแค่ 20 นาทีก็ถึง (แต่ถ้าใครไม่เช่ารถขับคงต้องเป็นไฟล์ตบังคับว่าต้องนอนที่นั่น) ชิวพักที่ Apartment Molis  เป็นอพารท์เม้นที่ใช้ได้ทีเดียวครับ มีที่จอดรถฟรี มีครัว มีระเบียงชมวิว และก็ราคาไม่แพงด้วยนะ

Hallstatt

เช้าวันที่ 2 ในออสเตรียชิวออกตั้งแต่ ตี5เลยเพื่อตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หมู่บ้าน Hallstatt ปกติตื่นสายวันนี้ยอม!! ขับรถออกจากที่พักไปแค่ 20 นาทีก็ถึงละ ตรง Hallstatt จะมีที่จอดรถแค่ 2-3 ที่นะ ชิวก็ดูแผนที่ในมือถือแหละ (ชิวไม่แน่ใจว่าชิวจอดที่ Parking 2 หรือเปล่านะแต่มันอยู่ในอุโมงที่ลอดไปหมู่บ้านหน่ะครับ) ชิวไปตั้งแต่เช้าไม่เสียค่าจอดด้วยอะ ตรงนั้นไม่มีตู้อะไรเลย แต่เขียนป้ายไว้ว่าช่วงเวลา 8:00-18:00 ห้ามจอดเกิน 2 ชั่วโมงอะไรทำนองนี้

 

โอเคหลังจากได้ที่จอดแล้วก็เดินมุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวที่ดีสุดของเมืองครับ ถ้าหาจุดใน google map จะชื่อว่า “Classic Village Viewpoint / Postcard Angle” อยู่ไม่ไกลอะเดินไปนิดเดียวก็ถึงตั้งกล้องถ่ายกันเลย ยังไงเราก็โคตระแนะนำให้ไปเช้าๆเพราะวิวดีมากกกกกกกก เช้าๆมักจะมีหมอกลอยบนผิวน้ำ พอตัดกับเมืองน่ารักๆคือดีงามสุดดดดดดดดดดดดด (อีกอย่างคือสายๆหรือบ่ายๆ นี่ทัวร์จะลงเยอะมากแล้วเราว่ามันเริ่มหมดเสน่ห์ไปเลยอะ)

ถ่ายรูปมุมมาตรฐานสักหน่อย มาถึงแล้วววววว

เมือง Hallstatt เป็นเมืองเล็กๆน่ารัก เล็กมากๆระดับสามารถเดินเที่ยวได้ภายใน 1 ชั่วโมงก็หมด แต่ถ้าจะมา slowlife อยู่ได้เป็นวันๆก็ยังได้อยู่เมืองชิวมากกกก  ในเมืองก็จะมีตึกน่ารักๆร้านรวงขายของฝากมากมายครับ ชิวเดินเที่ยวตอนเช้าเงียบสงบมาก แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยล่ะ ฟินมากกกกกกกก

จตุรัสกลางเมือง เล็กๆแค่นี้ละฮะ

เช้าๆสงบๆสวยๆหมอกลอยๆ ฟินแท้

เราเที่ยวถึงประมาณ 8:30 ก็อิ่มละครบแล้วทุกจุดที่อยากมากก็ขับรถกลับห้องฮะ แวะซื้อวัตถุดิบทำอาหารที่ซุปเปอร์กลับไปทำอาหารกินที่ห้องพัก  ^^

ทำกับข้าว และงีบหลับยิงยาวๆชดเชยเมื่อเช้าจนถึงเวลา checkout ก็ขับรถย้อนกลับไปยังเมืองสวยเทพๆอีกเมืองชื่อ St Wolfgang เมืองน่ารักคิ้วๆวิวดีอยู่ท่ามกลางภูเขาลูกโตและทะเลสาบสีสวยครับ เมืองนี้ชิวชอบส่วนตัวนะแนะนำว่าไม่ควรพลาดเช่นกัน

ที่เมืองนี้มีไฮไลต์ที่น่าสนใจคือการขึ้นรถไฟไต่เขาไปยังจุดชมวิวหลักพันล้านชื่อว่า Schafberg (35 EURO) บนจุดชมวิวนั้นจะสามารถเห็นทะเลสาบรอบๆได้ถึง 3 แห่งเลยนะตั้งใจกันมากที่จะย้อนกลับมาเพื่อขึ้นจุดชมวิวนี้ครับ แต่…ฟ้าปิด!! อือหือวันนี้ฟ้าหม่นมากฮะ ชิวดูกล้องวงจรปิดบนยอดเขานี่ขาวโพลนไปหมดขึ้นไปก็คงไม่เห็นอะไร ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนไม่ขึ้นแล้วเดินเที่ยวเมืองแทนครับ  ซึ่งงงงงเมืองนั้นดีงามมากตามที่บอกไป ถ้ามาแล้วไม่ได้ขึ้นรถไฟเพราะอากาศปิดแบบเราก็ยังไม่ผิดหวังแน่นอน เมืองสวยโรแมนติกมากกกกกกกกกกก ก.ไก่ ล้านตัวไปเลย  (ส่วนตัวเราชอบกว่า Hallstatt อีก)

 

ที่จอดรถจะอยู่ทางขวาของเมืองครับเพราะตรงเมืองรถเข้าไม่ได้นะ พอจอดรถเสร็จก็เดินไปทางซ้ายเลียบทะเลสาบไปเลยครับ วิวทะเลสาบงามมากนั่งทั้งวันก็ไม่เบื่อเลยเดินไปเรื่อยๆสัก 300 เมตรก็จะเริ่มเข้าเขตเมืองละ จะเริ่ม ร้านค้าขายของน่ารัก มีคาเฟ่เก่าแก่ มีร้านไอติมแจ่มๆหลายร้านเลย

ได้ไอติมเติมพลังแล้วก็เดินเลยฮะ ลัดเลาะไปเรื่อยๆหมู่บ้านเล็กๆเดินไปเรื่อยๆเลยสวยงามตลอดทาง

พอเดินถึงทะเลสาบก็จะเป็นวิวประมาณนี้ก็ถือว่าสุดทางละ นั่งฟินๆสักพักและหันหลังกลับเดินไปตามหาโบถส์นะ ด้านในโบถส์ก็งาม และด้านหลังโบถส์ยิ่งดีงามกว่า วิวอลังการมากฮะ

บล็อกนี้ชิวขอเขียนถึง 3 เมืองสุดประทับใจที่เราแนะนำแบบกาดอกจันทร์ล้านตัวว่าห้ามพลาดจริงๆ ออสเตรียยังไม่จบยังเหลือเวียนนาอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีที่เที่ยวเยอะมากๆไว้รอติดตามต่อตอนหน้าเน้อออออ บล็อกนี้รวม 3 เมืองที่ชิวเวอร์ๆมาแนะนำ ลุย!!

 

 

 

Exit mobile version