บันทึกการเดินทาง

 

4.30 ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ แลกเงินเป็น RM ที่เค้าเตอร์ SCB แลกไป 300 RM โดยไป 3177 บาทแหนะเพิ่งรู้มารู้ทีหลังว่า SCB แลกเรทโหดกว่าชาวบ้าน

จากนั้นก็ไป checkin ที่ตรง counter ที่เขียนว่า Malaysia airline เอา boarding pass ที่เราทำการ web checkin ไปถามเค้าว่าใช้ได้เลยไหม เค้าบอกไม่ได้ ก็เลยยื่น passport ให้เค้าไป เค้าก็จัดการปริ้น boarding pass มาให้ ( ได้ที่นั่งตรงกับที่ checkin ในเว็บแหละ )

หลังจากนั้นก็มึนๆพักหนึ่งจริงๆเคยบินที่สุวรรณภูมิหลายรอบแล้วนะแต่ปกติมากะทัวร์ไง เค้าก็บอกทุกอย่าง
รอบนี้ก็เลย ยืนนิ่งๆมองชาวบ้านเค้าเดินไปไหนกัน ก็เดินตามสรุปคือให้เดินขึ้นบรรไดเลื่อนไปชั้น 2 จะเจอที่ตรวจอาวุธก่อน
หลังจากตรวจอาวุธ/สิ่งแปลกปลอม ผ่านก็ไปที่ตรวจประวัติ ว่าจะให้ออกประเทศได้หรือเปล่า
ขั้นตอนนี้ทำผ่านเครื่องอัตโนมัติสะดวกมาก แป๊ปเดียวเอง

พอเข้ามาก็จะเจอพวก duty free ทั้งหลาย ของขายตรึม แต่ซื้อตอนนี้จะต้องแบกไปเที่ยวอีก 4 วันไม่คุ้มเดินดูคร่าวๆ

5.30 ถึงที่ Gate ground การบินไทยก็ตรวจ boarding pass / passport แล้วก็ให้ผ่านไปนั่งรอเครื่อง
ทีนี้เจอคนเค้านอนตรงจุดนั่งรอกันหลายคน ผมก็เพลียมาก เมื่อคืนพยายามนอนไวๆแต่นอนไม่หลับเพราะมันไม่ใช่เวลานอน เห็นคนอื่นทำเราก็เลยทำมั่งเอนตัวนอนไปเลย กินพื้นที่ไป 3 ที่นั่ง (แต่ยังมีที่เหลือให้คนอื่นอีกเยอะแยะ เครื่องบินลำไม่ใหญ่ )

นอนไปสักงีบ air ก็เรียกขึ้นเครื่อง ผมจองที่ติดริมหน้าต่าง ( window seat ) ไว้ เอาเป้ เก็บด้านบนหัวเสร็จแล้ว คนที่นั่งริมทางเดิน ( Aisle seat ) หน้าตาดูไม่ออกว่าคนไทยจีน หรือยังไงหน้าจีนๆ (เดาว่าเป็นมาเล-จีน)
ก็ถามว่า inside ? ผมก็เลยตอบไปว่า yesแล้ว ก็เข้าไปนั่งข้างใน

นั่งไปสักพัก air ก็จะมาถามว่า เอาน้ำอะไร ( air มาเลพูดภาษาอังกฤษนะ แต่สำเนียงดีกว่าคนมาเลทั่วไปมากฟังง่าย )

กินน้ำเสร็จก็มีอาหารมาเสริฟ ตอนผมไปมีให้เลือก 2 อัน คือ fish with noodle or chicken with rice
อยากกินข้าวก็เลยบอก chicken ไป ได้ข้าว+แกงเขียวหวานมา
(น่าจะบอก spicy อะไรสักอย่างบ้างนะเผื่อคนไม่กินเผ็ด ) แล้ว ก็มีคิดแคท + เค๊กผอยทอง ของไทยทั้งหมดมาให้

ประมาณ 09.20 ก็มาถึงมาเล สนามบิน KLIA ครับ
( บิน 2 hr. แต่เวลามาเลไวกว่าเรา 1 hr. ก็เลยถูกโกงไป 1 ชม. สะงั้น แต่เดียวเราไปเอาคืนตอนขากลับไทย ^^

เดินตามคนอื่นไปครับ เห็นป้าย arrival hall แล้ว ตรงจังหว่ะนี้ก็คิดว่า KLIA น่าจะมี free wifi
จะได้ line บอกพี่บอกเพื่อนว่าถึงแล้ว แล้วก็มีให้เล่นจริงๆครับ ถ้าจำไม่ผิดใช้ได้ฟรีประมาณ 30 นาทีนะ

แล้วก็ไปผ่าน ด่านตรวจคนเข้าเมือง คนไทยไม่ต้องขอ visa ครับขอให้มี passport ที่มีอายุเหลือเกิน 6 เดือนเป็นพอ
ตอนแรกเตรียมไปบอกเค้าว่ามาเที่ยว เผื่อเค้าถาม แต่.. เค้าไม่ถามอะไรเลย ผ่านมาง่ายๆ

พอผ่านมาก็จะเจอ รถไฟจำลอง KLIA ekprses ( ekprse มาเล = express ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม?? )
อันนี้แหละ ที่เราจะเข้าเมืองกัน ใช้เวลา 28 นาทีเท่านั้นครับ

เพิ่มเติม.. แถวๆนี้จะมีร้านขายซิมมือถือ ผมเลือกของ maxis ถามพนักงานด้วยภาษาอังกฤษห่วยๆของผม
สำเนียงคนมาเลก็ทำผมงงพอสมควร แต่สุดท้ายก็พอคุยกันรู้เรื่อง

ค่าซิม 5 RM เติมเงินไป 20 RM
internet 7 วัน 250 MB เค้าคิด 12 RM เพราะฉะนั้นเหลือเงินไว้โทร 8 RM
( ถ้าไม่ได้โทรไรมากเหลือๆครับค่าโทรกลับไทยถูก 1.4 บาทมั้ง ก็ 0.14 RM เอง )

จัดการซิมการ์ดเรียบร้อย มีเน็ตแล้ว ก็ไปนั่งรถไฟเข้าเมืองกัน

ขึ้น klia express ต้องไปชั้นล่างครับ ผมก็หาป้ายไม่เจอ ไปถามพี่ตำรวจในนั้นแหละ
ลงมาซื้อตั๋ว พนักงานถามว่า อะไรสักอย่าง percent ?? ผมก็งงอะไรวะ จะซื้อตั๋ว
แล้วเค้าก็พูดว่า one percent? ก็เลยรู้ว่า เอิ่ม ที่นี่พูด person ออกเสียงเป็น percent ซะงั้น จำไว้ครับเราต้องเจอคำนี้อีกเยอะเลย ตอบไปว่า เยส จ่ายตังไป 35 RM
ถือว่าเป็นรถที่แพงอยู่นะเนี้ย รอบละ 35RM ไปกลับ 70 RM = 700 บาทไทยแหนะ

ซื้อตั๋วเสร็จก็มานั่งรอครับ ออกทุกๆ 15-20 นาที เค้ามีเวลาบอกอย่างชัดเจน ไม่ต้องลุ้นแบบบ้านเรา

นี่สภาพในรถครับ ดูดีมากๆ ไฮโซสุดๆ เทียบกับ airport link บ้านเรา….

KLIA นี่เป็นสนามบินที่อยู่นอกเมือง อยู่กลางสวนปาล์มเลย

ก็ขึ้นรถ KL express เข้าเมืองไปเร็วดี 11:00 นั่งรถ 28 นาที

ถึง KL sentral แล้วจำชื่อนี้ไว้ให้ดีเรากลับมาเจอจุดนี้บ่อยมาก เพระาเป็นศูนย์รวมรถไฟ

เดินวนไปวนมาจะออกไปเที่ยวรอบๆรอเพื่อน มึนกะทางยังไม่ทันจะไปไหนเพื่อนมาถึงพอดี ก็เลยไปดูตั๋วไป genting กัน ตรงนี้จะเจอ Taxi มาเชิญชวนเยอะมาก อย่าไปสนใจเดินตรงไปซื้อตั๋วเลยครับ สรุปว่าได้รอบ บ่ายสอง แหนะ เรามีเวลาว่างอีก 2 ชม. ก็เลยตัดสินใจกินข้าวก่อน เลือกกิน burger king กันที่นี่ถูกกว่าไทยนิดหน่อย

กินเสร็จก็ฝากกระเป๋าเอาไว้ใน coin locker แล้ว
เดินไปเที่ยว nation museum ซึ่งหาทางไปนานมากดู google map กันตั้งนาน
วิธีเดินจาก KL sentral ไปยัง nation museum นะครับ ให้เดินไปทางโรงแรม Hilton เดินทะลุโรงแรมไปอีกด้านเลย จะเจอทางด่วนตัดพาด ขั้นเรากะ nation museum อยู่แต่มี footpath ให้เดินตลอดทางครับเดินไปเลย มีทาง
ไปถึงก็หาทางเข้าไม่เจอ เดินเข้าด้านหลัง ถามเค้าว่าทางเข้าอยู่ไหน พนักงานชี้ข้างบน ผมกะเพื่อนก็เดินขึ้นไปเลย ไม่เห็นเก็บตั๋วเลยอะ ก็เดินๆเที่ยวๆสัก 40 นาทีก็หมดละ พอลงมาเจอทางเข้าที่เค้าเก็บตั๋ว ( สรุปรอบนี้เราฟรีแบบไม่ตั้งใจ )
ข้างขวา nation museum มีสวนหย่อม อันหนึ่งก็ไปเดินถ่ายรูปนิดหน่อย 1:40 แล้วเราก็เลยรีบไปรอขึ้นรถ
ที่ KL sentral มีตู้กดน้ำอัดลม แค่ 1 RM ผมก็ซื้อพวกน้ำแปลกๆที่บ้านเราไม่มีมากิน อร่อยดีถูกด้วย

ข้างในก็เป็นประวัติศาสตร์ของเค้า ไม่มีอะไรมาก แต่ถ้าต้องรอรถหรือไม่มีอะไรทำก็แวะมาที่นี่ดีกว่า นั่งรอครับ

ขึ้นรถไปเกนติ้งครับ

ได้เวลาใกล้แล้วเราก็มาขึ้นรถกัน ภาพนี้เป็นทางไปเกนติ้ง ก็จะผ่านทางด่วนบ้านเค้า
มี smart tag ที่ดีกว่าบ้านเรา ( อีกแล้ว ) คมนาคมประเทศเค้าดีจริงๆ

รถไปเกนติ้งค่อนข้างดี สะอาดกว่ารถบัสบ้านเรามากๆ นั่งรถไป 1 ชม. ก็ถึงทางขึ้นกระเช้า genting ครับ
ถึงปุ๊ปก็รีบไปซื้อตั๋วเพราะคนเยอะมาก ได้ตั๋วก็ต่อแถวอีกประมาณ 30 นาทีกว่าจะได้ขึ้นไปเกนติ้ง

ภาพขณะกำลังนั่งกระเช้า ( gondola ) ขึ้นไปที่ genting highland

ถึงแล้วครับอากาศดีเวอร์ 19 องศา ชอบที่นี่จัง ต่างจาก KL นี่ร้อนแบบกรุงเทพเลย

บรรยากาศข้างใน เหมือนในห้างเลย มีสิ่งล่อตาล่อใจเยอะแยะ ตู้เกมส์ตรึม

บรรได เลื่อนที่เกนติ้ง

บรรยากาศภายใน ออกแนวห้างหน่ะแหละ แต่อากาศเย็นเพราะอยู่สูงมากๆ

ไปเดินเที่ยวดูรอบสวนสนุก ดูวิว ดูคาซิโน ดูโน้นนี่ ได้สัก 2 ชม.ครึ่ง เราก็ต้องลงแล้วหล่ะ
เวลามีไม่มากเพราะต้องมาต่อคิวลงอีก ต่อคิวไปอีก 30 นาทีแล้ว ลงกระเช้าเสร็จก็นั่งรถบัสกลับ KL
ปล. ด้านบน genting มีรถไปส่ง KL sentral เลยไม่ต้องเสียเวลารอนั่งกระเช้าก็ได้
แต่พวกผมไม่รู้มาก่อน เลยซื้อตั๋วขากลับไว้ตั้งแต่ก่อนขึ้นกระเช้า ( gondola ) ไปแล้ว

Note : ถ้ารอบหน้ามามาเลอีก จะไปค้างข้างบน genting ครับ ตอนแรกคิดว่าจะไม่ไปเลยจองที่พักใน KL ไปแล้วเลยอดค้างที่นี่อากาศดีจริงๆ

พอถึง KL sentral ก็ไปเอากระเป๋าออกจาก coin locker นั่งรถไฟไปลงสถานี Bukit bintang พอลงปุ๊บเราเจอเจอป้าย H&M ใหญ่มากก แต่เราจะไปเที่ยวห้าง pavilion ครับเดินเข้าไปอีกนิด ห้างใหญ่พอสมควร วันนั้นไปมีซุ้ม Christmas ด้วยสวยงามทีเดียว shop brand name เพียบเลย แต่ไม่ค่อยลดราคาเท่าไหรเลย

พอลงปุ๊บเราเจอเจอป้าย H&M ใหญ่มากก แต่เราจะไปเที่ยวห้าง pavilion ครับเดินเข้าไปอีกนิด ห้างใหญ่พอสมควร วันนั้นไปมีซุ้ม Christmas ด้วยสวยงามทีเดียว shop brand name เพียบเลย แต่ไม่ค่อยลดราคาเท่าไหรเลย

วันที่เรามายังมีซุ้มอยู่สวยดี

เดินห้างจนเหนื่อยเพราะต้องแบกเป้ไปด้วย  เจอร้าน meetfresh ในห้าง ดูน่ากินดี มองๆไปเจอว่าเป็น jelly herb glass  ( เฉาก๊วย ) อะไรสักอย่างดูน่ากิน ก็เลยจัดตัวที่เขียนว่า signature มาชื่อก็บอกอยู่แล้วระดับ signature ร้านเลยก็ต้องตัวนี้แหละ แล้วก็อร่อยจริงๆครับ ปลื้มมากกกกกกกกกก  ถ้ามีโอกาสไป KL อีกต้องไปกินให้ได้
จากนั้นเราเดินไปโรงแรมกัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลห้างสักเท่าไหร ถ้านับจากสถานี bukit bintang  โรงแรมเราเลี้ยวซ้าย ส่วนห้างเลี้ยวขวา   ทางเดินไปโรงแรมของกินเยอะมากกกกกกกกกกกกกก   อะไรก็น่ากินไปหมด เข้าไปเช็คอินแล้วก็ออกมากินข้าว จัดหนักกันไปเลยครับ อร่อยมากๆ ค่าเสียหายคนละ 500 แต่ไม่เสียดายเลยกินจนพุงกางกินต่อไม่ไหวแล้ว
ตอนอิ่มแล้วกันกำลังเกี่ยงกันว่าใครจะกินให้หมด มีขอทานเดินทางชี้ satay ผมก็หยิบให้เค้าไปเลยไม้หนึ่ง
สุดท้ายเหลือตั้งหลายไม้ อยากเลี้ยงป้าแกกลับมาเอาไปกินจัง เสียดายของ


สามารถติดต่อกับเจ้าของ blog ได้ที่ www.facebook.comchilljourney ครับ

ต่อวันที่ 2 วันนี้เรามี plan ไปเมืองมะละกากัน
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ 7 โมงครับ  สุดท้ายกว่าจะออกจากโรงแรมเกือบ 9 โมง ตื่นสายตามระเบียบ
การเดินทางตามข้อมูลที่หามาก็คือ Bukit Bintang > HANG TUAH > BANDAR TASIK SELATAN

จากที่พักเราเดินมาถึง สถานี Bukit Bintang ได้เลย  เป็น monorail ตามภาพครับ


จากนั้นก็ไปต่อรถที่สถานี HANG TUAH   



จากสถานีนี้เราก็ต่อรถไปปลายทางเรา BANDAR TASIK SELATAN

*ที่มาเลสามารถซื้อตั๋วทีเดียวได้เลยครับ เวลาต่ออีกสายก็แค่ลงแล้วเดินไปต่อ ไม่ต้องออกจากสถานีซื้อตั๋วใหม่



ถึงแล้วครับ

มาถึงแล้วครับ TBS ( Terminal bus station ) ท่ารถบ้านเค้าไฮโซมาก ยังกะ airport ระบบออนไลน์หมด คือแบบว่า  ผมจะไปเมืองมะละกา ผมไม่ต้องไปไล่ถามแต่ละเจ้า คือสามารถเลือกยี่ห้อ และ เวลาออกได้เลย
*ข้อแนะนำ ให้ถามว่าเป็น direct bus หรือเปล่าไม่งั้นนั่งอ้อมเสียเวลานะครับ



พอซื้อเสร็จเดินวนๆดูก็เจอตู้อัตโนมัติ ถ้าใครมาลองซื้อวิธีนี้ก็ได้ครับ


นั่งรถไปเพลินๆ  2 ชม. ก็ถึง Melaka sentral  เราก็หารถเข้าไปตรงที่เที่ยว ค่ารถไปคนละ 1.3 RM ครับ ( Bus number 17 ) ถ้าไม่แน่ใจถามคนแถวนั้นได้ครับ ไม่ต้องประโยคยืดยาว just say “ Dutch square ” เดียวเค้าชี้ๆไปเอง


เสียคนละ 2 RM มั้ง เป็น art gallery มะละกา ไม่มีอะไรเล้ย แต่มาตากแอร์ซะหน่อย 20 บาท
ได้แอร์เย็นๆชมประวัติศาสตร์บ้าง เข้าห้องน้ำด้วยก็โอเคนะ




#art gallery

หาอะไรรองท้องหน่อย  หิวมาก ตรงข้ามถนน เจอมันฝรั่งทอด ที่หมุนๆเป็นไม้ออกมา อร่อยมากกกก
คือเค้าเอามันมาหมุนสดๆชุบแป้งแล้วก็ทอดเลย ไม่ใช่ที่ผมเคยกินที่ไทยที่เอามันไปผสมกับแป้ง แล้วค่อยมาทำเลียนแบบ

กระเป๋าเราเริ่มทำพิเศษ เลยจะเอาของไปเก็บโรงแรมก่อน เอาแผนที่โรงแรมไปให้เจ้าหน้าที่ดูก็บอกว่า 
ไกลนะ 3 KM+ ให้นั่งแท้กซี่ไปดีกว่า เดินไม่ไหว พอไปถามแท้กซี่  เค้าก็ไม่รู้จักอีก  บอกให้ถามตำรวจ  พี่ตำรวจบอกว่าให้ขึ้นรถบัสไปได้ ( สายที่เรานั่งมาจาก Melaka sentral หน่ะแหละ )  ก็นั่งรอรถสักพักรถก็มา ขึ้นรถไปกัน เสียค่ารถ 2.5 RM/คน งงมากทำไมมันแพงขึ้นฟะ ตอนมานั่งตั้งไกล 1.3 RM


        ก็ไม่เป็นไรนั่งรถแบบมึนๆ พอผ่านไป 1 ป้ายก็เจอห้างของมะละกาเค้า ใหญ่เชียว 
ทีนี้เกิดเหตุ! ผมจับกระเป๋าดูมือถือไม่อยู่แล้ว โดนขโมยจากไอ้ผู้โดยสารชั่วที่ลงป้ายไปนั่นแหละ
ผมก็ลงรถไป ดูท่าที่คนไหนหยิบมือถือผมออกมาดูป่าววะ ก็ไม่เจอ เดินเซ็งกลับขึ้นรถ คนขับรถก็บอกให้จ่ายค่ารถอีก ก็เลยต้องหยิบตั๋วให้ดูว่าจ่ายไปแล้วตากี้  เห้อ.. มือถือสุดที่รักผม ใช้อย่างถนอมไม่เคยตกสักครั้งหายไปแล้ว  ให้เพื่อนโทรเข้ามือถือรอบแรกรับไม่มีคนพูด รอบสองสาม ปิดเครื่อง โอเคบ๊ายบาย 

*ต้องระวังมากๆครับแหล่งท่องเที่ยวทุกที่มิจฉาชีพเยอะมากๆจำไว้เลย เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับผม


จากนั้นก็ทำใจละช่างมัน นั่งรถโดยสายต่อไปเรื่อยๆ พี่แกพาทัวร์เมืองเลยอ้อมไปทั่วจริงๆ 
ได้ sightseeing เมืองมะละกาไปเรียบร้อย เลยเข้าใจละทำไม 2.5 RM
( เปิด google map ในมือถือเพื่อนดู ) อ้อมไปอ้อมมาก็ถึงสี่แยก  โรงแรมเราอยู่ทางขวา  
ก็ลุ้นกันว่าถ้าเลี้ยวซ้ายเราต้องลงเลยนะ ไม่งั้นเดียวไปไกล แล้วมันก็เลี้ยวซ้ายจริงๆก็เลย ลงแล้วเดินไป 500 เมตร ก็เจอโรงแรมละ  โรงแรมคืนละพันต้นๆ ดูดีทีเดียวแหละจองผ่าน agoda มาครับ   
( Prima Hotel Melaka )

*เพิ่มเติม โรงแรมที่มะละกา เค้าจะเป็น 2 RM ทุกห้องเป็นค่ารักษาเมืองอะไรทำนองนี้ ( heritage tax )


เอาของเก็บแล้วก็เดินออกมากินอาหารกัน search google ดูร้าน A famosa ข้าวมันไก่ลูกกลมๆ ร้านดังอยู่ไม่ไกล ก็เลยเดินไปกินกัน  รสชาติงั้นๆอะ ข้าวมันไก่ธรรมดาอร่อยกว่ามากๆ  คือก็อ่านมาจากในเว็บแล้วหล่ะ ว่าไอ้ข้าวก้อนกลมๆมันไม่อร่อย แต่ไหนๆก็ไหนๆมาบ้านเค้าก็ต้องกินซะหน่อยให้รู้โน๊ะ = =”

อ้อ.. อ่านมาจากเว็บ malaysiafanclub เค้าบอกว่า ลูกชิ้นอร่อย ก็เลยสั่งมากินด้วยรสชาติโอเคเลย น้ำซุปร้อนๆ แจ่มครับ แต่ผมว่าสู้ลูกชิ้นปลาร้านอร่อยๆของไทยไม่ได้นะ



#บรรยากาศร้าน
#หมูแดง บ้านเค้า หวานๆ
#ลูกชิ้นอร่อยนะ
#ข้าว กับ ไก่ย่าง


แล้วเราก็เดินลัดเลาะผ่านย่านแนวๆ india ครับเหมือนจะเรียกว่า little india อะไรทำนองนี้ มาไม่เท่าไหรชมวิวไปด้วย แต่อากาศร้อนสุดๆ แล้วก็เจอป้ายยินดีต้อนรับสู่ มะละกาครับ อ้าววววว ไหนไอ้คนพิพิธภัณฑ์บอกว่าไกลเดินไม่ไหวฟะ = =”   ถ้าเดินก็คงไม่ถูกล้วงมือถือไป แอบเซ็งนิดหนึ่ง



จากทางเข้าอันแรกที่เจอก็คือ Christ fransis

ออกมาก็เจอบ้านโบราณทาสีแดงๆเป็นโทนเดียวกันหมดครับ


และก็เจอร้านขายไอติมแบบ ที่เอาพวกเบอรี่มาปั่นกับไอติมนม  ทำแก้วต่อแก้ว ประมาณ 90 บาทมั้ง
ไม่แน่ใจราคา รสชาติไม่ค่อยถูกปากครับ รสหวานนำเกินไป พวกเบอรี่เปรี้ยวๆที่ใส่ลงไปไม่ค่อยได้รสชาติเลย แต่อากาศร้อนมากๆได้ไอติมมาแก้ก็ดีขึ้นเยอะ



#แดงไปหมด

ถัดไปก็จะเจอ dutch sqare ถ่ายรูปอีกรอบ ฝั่งตรงข้าม dutch sqare ก็จะเป็น jonker street แหละ

#เมืองนี้มีน้ำล้อมรอบ


#jonker walk


#หันกลับไปถ่าย 

ไม่เกี่ยวอะไรแต่ชอบส่วนตัวภาพนี้

#รถพาเที่ยวสัญลักษณ์ของที่นี่เลย เปิดเพลงกันดังมากๆ 

เดินไปอีกหน่อยจะเจอป้อมเล็กๆ แอบผิดหวังนิดหน่อย คิดว่าจะใหญ่อลังการ  เรียกว่าเนินยังได้เตี้ยมาก



ไปอีกนิดก็จะเจอกังหันน้ำอันใหญ่ พร้อมท่าเรือ เดียวเราจะมาล่องเรือกันไว้ก่อน




 เลยเดินตรงต่อไปจะเจอ พิพิธภัณฑ์เรือ  ถ่ายรูปข้างนอกอย่างเดียวดูไม่มีอะไรตอนดูรีวิวมา



เดินหา A fa mos ไม่เจอหลงไปดูบ้านดูเมืองเค้าตั้งไกล เลยได้ชมวิวเมืองแบบหลงๆ นี่แหละเสน่ห์ของการเที่ยวแบบ backpack ถ้ามากับทัวร์คงไม่ได้หลงมาเจอแบบนี้ ^^


เดินกลับมาทาง Melaka tower
เห็นห้างที่มือถือถูกล้วงอยู่ทางขวา ร้อนมาก ปวดขาด้วย ไม่ไหวแล้วเลยไปห้างกันดีกว่า
ก็ไปช็อปปิ้ง ผมเจอของลด 70%  อยากได้กระเป๋าตังใหม่อยู่แล้วก็เลยถามพนักงานว่านี่ราคาลดยัง
ของ john Langford ราคาประมาณ พันกว่าๆ   พอลดแล้วจะเหลือ 370 อะไรทำนองเนี้ยถูกมาก
ก็เลยจัดมาใบหนึ่ง จากนั้นก็เดินๆดู อยากหาอะไรเย็นๆกิน  ( มาเลร้อนเท่าๆไทยแหละ คิดดูเดินตอนบ่ายๆ )  ก็ไปเจอร้านขายเฉาก๊วยเทพแบบที่กินเมื่อวาน ก็เลยสั่งมากิน แต่ร้านนี้ไม่อร่อยเท่าเมื่อวานแฮะ นั่งสักพัก 6โมงกว่า ละ 



#ทางเดินไป A fa mos
  

ถึงแล้วครับไม่มีอะไรจริงๆ แต่ขึ้นมาชมวิว panorama บนนี้เจ๋งมาก



 ถ่ายรูปสักพักก็มืดพอดี เดินไปต่อคิวล่องเรือกัน แถวๆกังหันเนี้ย   คิวยาวอีกแล้วมาหน้าเทศกาลก็เงี้ย แต่ก็ไม่นานมากต่อแถว + ถ่ายรูปไปด้วย 30 นาทีก็ได้ลงเรือ

คุ้มมากบอกได้เลยว่า ถ้ามาต้องมาล่องเรือกลางคืนนี่แหละ ล่องแม่น้ำ + แสงไฟ สวยมากๆเลย เรือจะวิ่งประมาณ 40 นาที มีบรรยาย มาเล/อังกฤษ 

ลองดูจากรูปครับ.. คุ้มจริงครับ ของจริง


*ในภาพนี้ต้องปรับ iso / speed shutter ค่อนข้างสูงครับเพราะมืด + เรือเคลื่อนไหว
ถ้ากล้อง compact บ้านๆ ปรับอะไรม่ค่อยได้ อาจจะถ่ายแบบนี้ไม่ได้นะครับ 

#ย้อนกลับมาเจอป้ายขาเข้า
#ป้อม ตรงข้าม dutch square เมื่อกลางวัน

พอเราล่องเรือเสร็จก็เกือบ สี่ทุ่มละเราก็ไป jonker street กัน ของขายของกินเยอะแยะมากมาย เหมือนถนนคนเดินบ้านเราแหละ ก็พยายามหาอะไรแปลกๆกินดู เช่น แพนเค๊กใส่ไส้ ถามดูว่าชื่ออะไร คนขายบอกว่า taiwan pancake ( มาเที่ยว มาเล ได้กิน ของไต้หวัน สะงั้น )



#ร้านนี้ชื่อดัง มีลอดช่อง แต่เรามาสายไปปิดไปแล้ว  แต่ไม่เสียดายเท่าไหรของกินถนนนี้เยอะเวอร์ๆ
#แพนเค๊กไต้หวัน

สุดท้ายเราก็เดินจนสุดถนน กลับมากินร้านก๋วยเตี๋ยวกันคนละชาม  ก็อร่อยดีนะ




#ผลไม้ชุบช็อคโกแลต

จากนั้นก็เดินกลับโรงแรมกัน มืดมากก เมืองนี้เค้าติดไฟสีแดงกันหมด อย่างกะหนังจีนเลย
เราก็กลัวโดนปล้นพอสมควรมันเปลี่ยวก็รีบเดินออกถนนใหญ่ จากนั้นก็เดินๆๆๆ ไปจนถึงโรงแรม



บรรยากาศมะละกาตอนกลางคืนครับ


เอาขวดเบียร์มาสร้างเป็นต้นคริสมาส เจ๋งมาก



เจอร้านนวดอยู่ตรงข้ามโรงแรมเลย เพื่อนปวดขาไม่ไหวแล้ว วันนี้เดินเยอะมากๆ ขอนวดเท้า
ผมก็นั่งเล่นมือถือเพื่อน รอ  จากนั้นก็เข้าโรงแรมไปพักผ่อนกัน 

ผมก็ปวดขาเหมือนกันพออาบน้ำเสร็จก็เลยเอาน้ำอุ่นจากห้องน้ำมาแช่เท้า สักพัก สบายขึ้นเยอะ ^^

กว่าจะนอนเกือบ ตี2ละมั้ง เที่ยว มาราธอน มากกมายครับ พรุ้งนี้จะตื่นไปเก็บตกอะไรช่วงเช้า ตามแผนไหวไหมน้า 

ติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::

Instragram :@ChillJourneyTH
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney

Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!